ทัศนศึกษาที่ประเทศสเปน ถิ่นมาทาดอร์

วันนี้อยากจะพาเพื่อนๆทั้งหลาย บินข้ามทะเล(แบบจินตนาการ)ไปเยือนประเทศสเปน แดนกระทิงดุ สัมผัสถึงถิ่นมาทาดอร์หรือนักสู้วัวกระทิง เพื่อทัศนศึกษาหาความรู้จากที่เที่ยวในประเทศสเปนที่ไม่ว่าจะดูกี่ครั้ง ก็มีแต่ความประทับใจ

ซึ่งการไปทัศนศึกษาครั้งนี้ พิเศษมากเพราะเราจะไปถึง 4 เมืองหลักของประเทศสเปน ได้แก่ เมือง Barcelona , Madrid , Seville , และ Malaga 4 เมือง 4 สไตล์ที่มีเสน่ห์แตกต่างกัน มาเริ่มกัน

เมือง Barcelona

ที่ “ตลาดสด Mercat De La Boqueria” หรือที่รู้จักกันในชื่อ La Boqueria เป็นตลาดอาหารที่เปิดตอนเช้าและปิดตอนเย็น เป็นสถานที่ ที่เราจะสามารถสัมผัสวิถีชีวิตของชาวสเปนได้อย่างมาก เพราะเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมือง Barcelona และเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยว ตลาดแห่งนี้มีอายุย้อนกลับไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 และเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในเมือง Barcelona อยู่บนถนนของ La Rambla เป็นถนนยาว 1.2 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวต้องมาเส้นนี้เพราะเป็นเส้นหลักของ Barcelona

มีสินค้าหลายอย่าง เช่น ขายเนื้อสัตว์ต่างๆ ช็อกโกแลต ผลไม้แห้ง ซีฟู้ด ขนม ไอศครีม ขาแฮม ผู้คนจะซื้อและกลับไปทำอาหารที่บ้านกัน และเหมาะกับผู้ต้องการลองอาหารใหม่ๆ เป็นตลาดที่มีผู้คนพลุกพล่าน ถ้าคุณอยากชมผู้คนจากทุกสาขาอาชีพใช้ชีวิตในแต่ละวัน ตลาดสด Mercat De La Boqueria แห่งนี้ก็เหมาะสมอย่างยิ่ง

800px Front of Mercat de Boqueria
ด้านหน้าของ Mercat de Boqueria ภาพโดย Thingstodoinbarcelona

 

800px Mercat de la boqueria.1
ร้านขายผลไม้แปรรูป ภาพโดย Bautsch

 

800px La Boqueria Mercat de Sant Josep de la Boqueria panoramio
ร้านขายผลไม้ ภาพโดย Jens Cederskjold

 

800px Mercat de la Boqueria Sant Josep 13
ร้านขายเนื้อสด ขาแฮม ภาพโดย böhringer friedrich

สิ่งสำคัญเลยที่ต้องได้กิน คือ ขาแฮม (Iberico Ham) หรือ Jamon Iberico ทำมาจากส่วนขาของหมูดำ และเป็นแฮมที่ขึ้นชื่อว่าแพงที่สุดในโลก ขาหน้าจะออกรสชาติเค็ม ส่วนขาหลังจะมีความหวานเข้ามาด้วยและมีความนุ่มกว่า แนะนำ กินขาหลังดีกว่า มาสเปนห้ามพลาดต้องมาชิม

แฮมอิเบอริโกเป็นแฮมที่ทำจากหมูไอบีเรียสีดำ (หรือที่เรียกว่าหมูปาตาเนกรา) ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในสเปนและโปรตุเกส ถือว่าเป็นหนึ่งในแฮมที่ดีที่สุดในโลก และขึ้นชื่อในเรื่องรสชาติเข้มข้น และเนื้อสัมผัสที่ละลายในปาก

หมูไอบีเรียได้รับการเลี้ยงในสภาพแวดล้อมแบบปล่อยอิสระ ซึ่งพวกมันได้รับอนุญาตให้เดินเล่นอย่างอิสระในป่าโอ๊ก พวกเขาได้รับอาหารจากลูกโอ๊ก ซึ่งทำให้แฮมมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ จากนั้นจึงบ่มแฮมเป็นเวลาอย่างน้อย 24 เดือน และบางครั้งก็นานถึงเจ็ดปี

001 156 IMG PPR 28 Portugueseprotest
ขาแฮม (Iberico Ham) ภาพโดย Kojin

มาต่อกันที่ ถนน La Rambla จะพาเดินถนนเส้นนี้ซึ่งเป็นถนนที่สำคัญมากใน Barcelona เพราะเป็นถนนที่เป็นจุดศูนย์กลางของนักท่องเที่ยวทุกคนต้องมาที่นี่ 2 ข้างทางก็มี ร้านแลกเงิน ร้านอาหารค่อนข้างเยอะ สถานีรถไฟใต้ดิน ในตรอกเล็กๆ ก็มีโรงแรม มีร้านขายของเก่า มีความสวยและมีเสน่ห์แบบเมืองยุโรปสมัยก่อน ตรอกและตรอกเชื่อมถึงกันหมดเลย 

La Rambla เป็นถนนคนเดินที่มีต้นไม้เรียงรายในใจกลางบาร์เซโลนา ประเทศสเปน มีความยาว 1.2 กิโลเมตร (0.75 ไมล์) และทอดยาวตั้งแต่ Plaça de Catalunya ไปจนถึงอนุสาวรีย์คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในบาร์เซโลนา และมักคับคั่งไปด้วยผู้คน โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน

800px 15 10 27 Vista des de l%27est%C3%A0tua de Colom a Barcelona WMA 2791
ถนน La Rambla มุมสูง 2 ข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ ภาพถ่ายโดย Ralf Roletschek

มาถึงที่ Placa Sant Jaume แคว้นกาตาลุญญา คือ แคว้นในประเทศสเปน ธงจะมีสีแดงเหลืองสลับกัน บริเวณนี้เป็นเมืองเก่าของ Barcelona มีความสวยงาม ทำกับเป็นเมืองที่มี ศิลปะ สถาปัตยกรรมที่โด่งดัง

Placa Sant Jaume  เป็นจัตุรัสประวัติศาสตร์ในเมืองเก่าของบาร์เซโลนาที่มีอายุเก่าแก่และเป็นหัวใจสำคัญของชีวิตทางการเมืองของชาวคาตาลัน จัตุรัสอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางทางการเมือง ของเมืองมาตั้งแต่สมัยโบราณ ตั้งอยู่ในใจกลางของ Barri Gòtic (หรือ Gothic Quarter)

นอกจากจะเป็นศูนย์กลางการบริหารของบาร์เซโลนาและของคาตาโลเนีย จัตุรัสแห่งนี้ยังเป็นศูนย์กลางของ Barcino ซึ่งเป็นอาณานิคมของโรมันในอดีตอีกด้วย บริเวณทางแยกของถนนสายหลักสองสาย ได้แก่ Cardo (ถนนสายหลักสายเหนือ-ใต้) และ Decumanus (ถนนสายหลักสายตะวันออก-ตะวันตก) ย้อนกลับไปตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 1 จัตุรัสนี้ใช้เป็นเวทีสำหรับสมาชิกสภานิติบัญญัติและผู้บริหารกล่าวสุนทรพจน์ในที่สาธารณะและอภิปราย

แม้จะมีประวัติศาสตร์อันยาวนานก็ตาม จัตุรัสแห่งนี้ได้ชื่อมาจากโบสถ์ Sant Jaume ซึ่งครั้งหนึ่งเคยตั้งอยู่ที่นี่ในยุคกลาง สมาชิกสภานิติบัญญัติของบาร์เซโลนาจะพบกันที่ระเบียงโบสถ์เพื่ออภิปรายการการเมืองระดับท้องถิ่นและระดับภูมิภาค ในที่สุดสภาเมืองก็ได้ซื้อบ้านใกล้เคียงหลายหลังเพื่อจุดประสงค์นี้ และในที่สุดอาคารเหล่านี้ก็กลายเป็นสำนักงานใหญ่ของ Generalitat de Catalunya (หรือรัฐบาลแห่งคาตาโลเนีย)

รูปแบบร่วมสมัยของจัตุรัสนี้สร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เมื่อโบสถ์เก่า Sant Jaume ถูกทำลายด้วยไฟและพังยับเยินในเวลาต่อมา ก่อนที่จะมีการรื้อถอน พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกครอบครองโดยโบสถ์และสุสาน รวมถึงบ้านของผู้พิพากษา ปล่อยให้จัตุรัสจำกัดอยู่เพียงพื้นที่เล็กๆ ที่ไม่ปกติ ดังนั้นจึงมีการถอดถอนโบสถ์ออก เปิดจัตุรัส และอนุญาตให้มีการพัฒนาอาคารสำหรับชนชั้นปกครองของบาร์เซโลนา

หลักฐานต่างๆ ที่เคยพบกันที่ประตูโบสถ์ยังคงทิ้งร่องรอยไว้บนจัตุรัสจนทุกวันนี้ ทางตอนเหนือสุดเป็นที่ตั้งของ Palau de la Generalitat de Catalunya อันงดงาม (หรือพระราชวังของรัฐบาลคาตาลัน) พร้อมด้วยส่วนหน้าอาคารแบบนีโอคลาสสิกในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 ที่ทำให้นึกถึงการออกแบบของ Michelangelo สำหรับ Palazzo Farnese ในกรุงโรม (หากคุณเดินไปตาม Carrer del Bisbe คุณจะพบกับทางเข้าในยุคกลางของพระราชวัง) ทางทิศใต้เป็นที่ตั้งของ Ajuntament de Barcelona สไตล์นีโอคลาสสิกอันยิ่งใหญ่ ซึ่งก็คือศาลาว่าการบาร์เซโลนา ซึ่งมีส่วนหน้าอาคารแบบโกธิกที่ Carrer de la Ciutat อาคารทั้งสองหลังมีเจ้าหน้าที่รับผิดชอบในการปกครองชีวิตของชาวคาตาลันและผู้คนในบาร์เซโลนาจนถึงทุกวันนี้

แม้จะมีประวัติศาสตร์ทางการเมืองอันยาวนาน แต่ Plaça de Sant Jaume ไม่เพียงมีแต่บทบาทสำคัญในการปกครองของคาตาโลเนียเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวัฒนธรรมด้วย โดยเป็นสถานที่จัดกิจกรรมสาธารณะมากมาย เช่น คอนเสิร์ต นิทรรศการ และการเฉลิมฉลองชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของฟุตบอล จัตุรัสแห่งนี้เป็นศูนย์กลางของการเฉลิมฉลอง La Diada de Sant Jordi (หรือวันนักบุญจอร์จ) ทุกๆ วันที่ 23 เมษายน จอร์ดีเป็นนักบุญอุปถัมภ์ของคาตาโลเนีย เช่นเดียวกับของอังกฤษ และเมืองเจนัวของอิตาลี ตามประเพณี Jordi เป็นฮีโร่ที่ช่วยเจ้าหญิงแสนสวยจากการถูกมังกรทำร้ายที่คุกคามหมู่บ้าน ในคาตาโลเนีย ในวันครบรอบของเขา ผู้หญิงและผู้ชายแลกเปลี่ยนดอกกุหลาบและหนังสือให้กับ Sant Jordi ในช่วงเทศกาล จัตุรัสจะเต็มไปด้วยแผงขายหนังสือ และถนนก็เต็มไปด้วยผู้คน เดินเล่นไปรอบๆ กำหนังสือและดอกกุหลาบที่พันด้วยริบบิ้นสีแดงและสีเหลือง – สีแดง ซึ่งเป็นสีของนักบุญจอร์จ รวมกับสีเหลืองทำให้เป็นสีของ ธงคาตาลัน ทุกเดือนกันยายน จัตุรัสแห่งนี้ยังจัดการเฉลิมฉลองเทศกาล La Mercé ซึ่งผู้คนจะมารวมตัวกันที่จัตุรัสเพื่อเต้นรำ Sardanas ชาวคาเทโลเนียพื้นเมือง ดื่มเวอร์มุต ขว้างประทัด และดูนักหล่อที่ได้รับการฝึกฝนสร้างหอคอยของมนุษย์

800px Ajuntament de Barcelona %283400686886%29
Placa Sant Jaume แคว้นกาตาลุญญา ภาพถ่ายโดย Serge Melki

พักเบรคครึ่งทาง หลังจากเที่ยวเมือง Barcelona เสร็จ เราจะเดินทางสู่เมืองหลวงมาดริด ชมความยิ่งใหญ่ของพระบรมมหาราชวังสเปน และลงใต้สู่เซบียา ชมมรดกโลกที่มหาวิหารเซบียา ข้ามไปมาลากา สู่ป้อมอัลคาซาบา จุดชมวิวที่ดีที่สุดของเมือง บินไป Barcelona เที่ยวชม Sagrada Familia มหาวิหารใจกลางเมือง ที่มีความสูงถึง 170 เมตร ตอนนี้พักกินข้าวผัดที่เมือง Barcelona ก่อน

พาทุกคนไปชิมเมนูแสนอร่อยของประเทศสเปนกับเมนูที่เรียกว่า “ปาเอญ่า ข้าวผัดสเปน” อาหารประจำชาติของสเปน เขาบอกว่าถ้าใครมาสเปน ต้องมากินข้าวผัดสเปน มาชิมพร้อมกันที่ร้าน Marina Bay

1024px 01 Paella Valenciana original
Paella ดั้งเดิมจากวาเลนเซีย ภายถ่ายโดย Jan Harenburg

ข้าวผัดสเปน ก็จะประกอบไปด้วย ซีฟู้ด ก็มีกุ้ง หอย ปลาหมึก มีกลิ่นที่หอมเครื่องเทศค่อนข้างเยอะ แต่ไม่แรงเหมือนอาหารอินเดีย Paella ได้ชื่อมาจาก Paellera ซึ่งเป็นภาชนะที่ใช้ในการปรุง ซึ่งเป็นกระทะทรงกลมแบนที่มีสองหูจับ Paella มักรับประทานจากกระทะได้เลย

800px Paella Cullera 2009
ปาเอยาทะเล ภาพถ่าย โดย Tamorlan

ประวัติความเป็นมาของปาเอญ่า

Paella เป็นจานข้าวแบบสเปนที่ประกอบด้วยผักและเนื้อสัตว์หลายชนิด ปรุงรสด้วยหญ้าฝรั่นอย่างมีเอกลักษณ์ แต่ยังมีเครื่องเทศอื่นๆ ขึ้นอยู่กับสูตรและพื้นที่ในประเทศสเปนด้วย

กล่าวกันว่าจาน Paella เป็นการผสมผสานที่สมบูรณ์แบบระหว่าง 2 วัฒนธรรมจากสเปน โรมัน สำหรับกระทะ และ อาหรับที่นำข้าวมาให้

มีเรื่องราวเก่าแก่ ว่าข้าราชบริพารของกษัตริย์มัวร์(the Moorish kings)สร้างสรรค์เมนูข้าวโดยนำอาหารที่เหลือจากงานเลี้ยงหลวงมาผสมในหม้อใบใหญ่เพื่อนำกลับบ้าน บางคนกล่าวกันว่า คำว่า Paella มีต้นกำเนิดมาจากคำภาษาอาหรับ “baqiyah” ซึ่งหมายถึงของเหลือ คำว่า Paella จริงๆ แล้วหมายถึงกระทะที่ใช้ปรุง คำว่า Pa หมายถึง … การดื่ม และวัฒนธรรมโรมันจากภาษาละตินได้ใช้คำต่างๆ เช่น Patera, Patina, Patella ซึ่งอาจหมายถึงภาชนะสำหรับดื่มหรือประกอบอาหารอื่นๆ

แต่ดูเหมือนจะเป็นอาหารธรรมชาติมากกว่า เนื่องจากข้าวปลูกในสเปน และเนื้อสัตว์ทุกชนิดและอาหารทะเลในบางภูมิภาคก็มีอยู่มากมาย อาหารจานนี้จึงเป็นธรรมชาติ เนื่องจากมีคนงานจำนวนมากในทุ่งนา การปรุงโดยใช้ไฟแบบเปิดจึงเป็นวิธีที่สะดวกที่สุด สเปนไม่เป็นที่รู้จักในเรื่องป่าไม้และไม้จำนวนมาก ดังนั้นกิ่งเล็กๆ ที่มีอยู่จากการตัดแต่งกิ่งที่เป็นสีเขียวจึงให้ไฟที่ร้อนอย่างรวดเร็ว แทนที่จะเผาอย่างช้าๆ จากท่อนไม้ ดังนั้นขนาดของกระทะจึงกว้างขึ้นแทนที่จะเป็นความลึก ดังนั้นคุณจึงสามารถจุดไฟที่ร้อนและระเหยได้เร็ว

ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่าอาหารจานนี้ได้รับการพัฒนาในเมืองบาเลนเซียของสเปน

บาเลนเซียเป็นที่ซึ่งชาวโรมันแนะนำการชลประทาน จากนั้นชาวอาหรับที่นำข้าวมา หลายๆ คนบอกว่า Paella ที่ดีที่สุดและของแท้ที่สุดยังมาจากบาเลนเซีย

นอกจากนี้ในแคว้นอันดาลูเซียของศาสนาอิสลาม ประเทศสเปนยังมีการปรุงอาหารจานพิเศษซึ่งประกอบด้วยข้าวและเนื้อสัตว์และผักต่างๆ เช่น หม้อปรุงอาหารในโอกาสพิเศษ อาหารเหล่านี้บางจานอาจเป็นต้นกำเนิดของสูตร Paella บางสูตร

กระทะ
กระทะ Paella มีลักษณะพิเศษคือมีลักษณะกลมและมีก้นแบน กระทะมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 12 นิ้วถึงหลายฟุต สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือความสูง ชาวสเปนมักพูดว่า เพื่อให้ข้าวสัมผัสกับก้นกระทะมากที่สุด

Paella ทำบนไฟที่ร้อนเร็ว
Paella แบบดั้งเดิมจะปรุงด้วยไฟแบบเปิด ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนขึ้นชื่อในด้านการพัฒนาศิลปะการทอด เนื่องจากไม่มีฟืนที่เผาช้าๆ ได้ดี กิ่งก้านที่มีอยู่นั้นมีปริมาณกรดสูงจนทำให้เกิดไฟที่ร้อนจัด

ข้าว
ข้าวสเปน 2 ชนิดเป็นเมล็ดกลมเล็กขนาดกลาง ซึมซับรสชาติและกักเก็บได้ดีแต่คงรูปทรงไว้ ซึ่งแตกต่างจากข้าวสำหรับริซอตโต้ที่แตกตัวเล็กน้อยและมีเนื้อครีม ข้าวที่นิยมที่สุดคือ ข้าวบอมบา

เนื้อสัตว์และผัก
เนื้อสัตว์และผักที่ใส่ใน Paella จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับภูมิภาคในสเปน Paella สามารถใส่เนื้อสัตว์ได้หลายชิ้นหรือไม่มีเลย นี่เป็นบางส่วนของเนื้อแบบดั้งเดิม เช่น กระต่าย หรือไก่ หอยทาก ไส้กรอกสเปนรมควัน เช่น ไส้กรอกโชริโซ อาหารทะเลอาจเป็นกุ้ง หอยแมลงภู่ หอยกาบ กุ้งล็อบสเตอร์ และปู

ผัก
หัวหอมและกระเทียมเป็นสิ่งจำเป็น และบ่อยครั้งคุณจะเห็นถั่วหรือถั่วสดเป็นเครื่องปรุง มักใช้อาร์ติโชคและพริกหยวกสีแดง

เครื่องปรุงรส
หญ้าฝรั่น(Saffron) มีให้เห็นในทุกสูตรของ Paella ทุกสูตรที่เคยชิมมามันไม่เพียงแต่ให้รสชาติดี แต่ยังให้สีที่สวยงามอีกด้วย

Paella อาหารทะเลแบบดั้งเดิมแสนอร่อยในกระทะเหล็กกับกุ้ง, ถั่วและสมุนไพรสดบนโต๊ะไม้ ภาพโดย pisan

มาต่อกันที่ สถานที่ที่เรียกว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมือง Barcelona หลายคนที่มาเที่ยว เมือง Barcelona ต้องมาเที่ยวที่แห่งนี้ “La Sagrada Familia” ผลงานชิ้นสุดท้ายของสถาปนิกชื่อดังระดับโลก และเป็นสถาปนิกเบอร์ 1 ของ Barcelona อย่าง “อันตอนี เกาดี” วิหารแห่งนี้จริงๆแล้วชาวสเปนเรียกว่าเป็นโบสถ์ เป็นโบสถ์ที่ เกาดี ต้องการที่จะสร้างเพื่อถวายแก่ศาสนาคริสต์ ภายในและภายนอกจะบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ เกี่ยวกับพระเยซู พระแม่มารี แต่ที่สำคัญคือ สถานที่แห่งนี้ยังสร้างไม่เสร็จ เพราะว่า เกาดี เสียชีวิตไปซะก่อน เขาตั้งเป้าไว้ว่าจะสร้างให้เสร็จภายในปี 2026 ซึ่งเป็นปีที่จะครบรอบ 100 ปีของการจากไปของ เกาดี ถ้าสร้างเสร็จจริงโบสถ์แห่งนี้จะใช้เวลาสร้างนานถึง 144 ปี

มหาวิหารซากราดาแฟมิเลีย The Sagrada Família ภาพโดย Visualmedia

มาภายนอกว่าอลังการแล้ว ภายในยิ่งอลังการเข้าไปอีก พอเข้ามาด้านในรู้สึกได้เลยว่ามีความโล่งใหญ่มาก นี้คือสิ่งที่ เกาดี ต้องการให้เป็นแบบนี้ เสาแต่ละต้น ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ต้นปาล์ม ด้านบนเพดานก็คือใบปาล์ม เพราะว่า เกาดี สมัยเด็กๆชอบธรรมชาติ ทำให้ผลงานของเขาส่วนมากได้รับแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาตินั้นเอง

มหาวิหาร Sagrada Familia
หรือในภาษาอังกฤษ Church of the Holy Family
แปลว่า มหาวิหารแห่งครอบครัวศักดิ์สิทธิ์

อีกอย่างหนึ่งที่โดดเด่นของ Sagrada Familia นั้นคือ กระจก ที่อยู่รายล้อมโบสถ์ ผนังเขาจะใช้กระจกเป็นหน้าต่างแล้วก็เล่นสีเล่นแสง เวลามีแสงแดดส่องเข้ามาทำให้เกิดความสวยงาม แล้วก็สีที่แตกต่างกันออกไป นี้คือเสน่ห์ของโบสถ์แห่งนี้

400px Barcelona La Sagrada Fam%C3%ADlia Stained Glass Window close to the Passion Fa%C3%A7ade View NW I
สีสันกระจกโดยรอบ La Sagrada Família ภาพโดย Txllxt TxllxT

จากที่สอบถามชาวบ้าน ที่ Sagrada Familia แห่งนี้เขาใช้ทำอะไร เขาบอกว่าไม่ค่อยได้ใช้ทำอะไรแล้ว ส่วนใหญ่เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวซะส่วนใหญ่ แต่ก็มีคอนเสิร์ตบ้างในช่วงบางเวลาของเทศกาล เช่น เทศกาลคริสต์มาส จำนวนนักท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่นมีนักท่องเที่ยวถึง 15,000 คน ต่อวัน นี้คือสถานที่ท่องเที่ยวอันดับ 2 ของสเปน รองจาก อัลฮัมบราที่กรานาดา

Sagrada Família มหาวิหารรองของนิกายโรมันคาทอลิกในบาร์เซโลนา ประเทศสเปน ออกแบบโดย Antoni Gaudí(อันตอนี เกาดี) Sagrada Família สร้างขึ้นในปี 1882 และยังคงสร้างไม่เสร็จในช่วงไตรมาสแรกของศตวรรษที่ 21 โดยมีชื่อเสียงจากรูปแบบออร์แกนิกที่สัมผัสได้ เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญที่มีชื่อเสียงที่สุดของบาร์เซโลนา เป็นภาพที่คาดไม่ถึงในสภาพแวดล้อมในเมือง โดยมีเสาค้ำยันอันโดดเด่นและหอคอยที่บิดเบี้ยวตั้งตระหง่านอยู่ทั่วเมือง

โครงการนี้ซึ่งเดิมจินตนาการโดย Francisco de Paula del Villar(ฟรานซิสโก เดอ เปาลา เดล วิลลาร์ อี โลซาโน)
ได้รับทุนจากการบริจาคเพื่อสนับสนุนศาสนาคริสต์ในบาร์เซโลนา ซึ่งกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นเมื่อในปี 1883 Gaudí(เกาดี) เข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าสถาปนิก และโครงการนี้เขาจะรับผิดชอบไปตลอดชีวิต ในภาพวาดและแบบจำลองสำหรับโบสถ์ของเขา Gaudí(เกาดี) ได้ปรับการออกแบบนีโอโกธิคดั้งเดิม ให้สมดุลย์ ให้เป็นโครงสร้างที่ออกแบบมาให้ตั้งได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องค้ำยันภายในหรือค้ำยันภายนอก ผลลัพธ์ที่ได้ คือได้รับการแก้ไขจนเกินกว่าจะจดจำได้ คือมีรูปแบบป่าไม้เชิงสัญลักษณ์ที่ซับซ้อน ซึ่งประกอบด้วยเสาเฮลิคอยด์ เพดานโค้งและผนังด้านข้างแบบไฮเปอร์โบลา และหลังคาพาราโบลาลอยด์แบบไฮเปอร์โบลิก มันจะเป็นวิสัยทัศน์แบบ Expressionist ของ Gaudí(เกาดี) เกี่ยวกับอาสนวิหารแห่งศตวรรษที่ 20 ซึ่งเขาจะใช้สัญลักษณ์ที่มองเห็นเพื่อแสดงความลึกลับมากมายของความเชื่อของคริสเตียน เขามีความเคร่งศาสนามากขึ้นในขณะที่ทำงานในคริสตจักร หลังจากปี 1910 เขาก็ละทิ้งงานอื่นๆ เกือบทั้งหมด และในที่สุดเขาก็แยกตัวอยู่ในไซต์งานและอาศัยอยู่ในเวิร์กช็อปของเขา

นอกเหนือจากการอุทิศตนให้กับศาสนาคริสต์แล้ว Gaudí(เกาดี) ยังเป็นผู้มีส่วนร่วมสำคัญใน Renaixensa ซึ่งเป็นการฟื้นฟูทางศิลปะ ของศิลปะและงานฝีมือรวมกับการฟื้นฟูทางการเมืองในรูปแบบของ “ลัทธิคาตาลานิสต์” ที่ต่อต้านชาวคาสตีลอย่างแรงกล้า การฟื้นฟูทั้งสองครั้งพยายามที่จะฟื้นคืนวิถีชีวิตในแคว้นคาตาโลเนียที่ถูกรัฐบาลสเปนปกครองโดยแคว้นคาสตีลและมาดริดซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่สเปน และซากราดาฟามีเลียก็กลายเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาของ Renaixensa ในบาร์เซโลนา

การออกแบบและแบบจำลองของ Gaudí(เกาดี) ซึ่งส่วนใหญ่ถูกทำลายในช่วงสงครามกลางเมืองสเปน แสดงให้เห็นรูปร่างขนาดมหึมาที่สามารถรองรับผู้คนได้ประมาณ 13,000 คน ไม้กางเขนแบบละตินสร้างขึ้นบนแผนมหาวิหารขั้นพื้นฐานและล้อมรอบด้วยระเบียงทั้งสามด้าน ทางด้านทิศตะวันออกเป็นส่วนหน้าของอาคารการประสูติซึ่งมีฉากเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู ทางทิศตะวันตกเป็นส่วนหน้าของ Passion ซึ่งเป็นภาพการตรึงกางเขนของพระเยซู และทางเข้าหลักมีซุ้มแห่งความรุ่งโรจน์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามนุษย์สามารถเฉลิมฉลองพระสิริอันศักดิ์สิทธิ์ได้ เหนือศีรษะมีหอคอยรูปทรงแกนหมุนขนาดใหญ่ 18 หลังขึ้นสู่สวรรค์ แต่ละหอเป็นสัญลักษณ์ของบุคคลในพระคัมภีร์ที่แตกต่างกัน ได้แก่ อัครสาวก 12 คน ผู้เผยแพร่ศาสนาทั้งสี่ พระแม่มารี และพระเยซู (แทนด้วยหอคอยกลางที่สูงที่สุด) ด้านหน้าอาคารทั้งสามด้าน ขนาบข้างด้วยหอระฆังสี่หอซึ่งเป็นตัวแทนของอัครสาวก ผู้ทรยศยูดาสและ ผู้นิพนธ์พระวรสารสี่ท่าน(Four Evangelists) นักบุญยอห์น นักบุญมัทธิว ถูกแทนที่ด้วย นักบุญบาร์นาบัส นักบุญมัทธีอัส และนักบุญพอล หอคอยกลางทั้งหกหลังเป็นตัวแทนของพระเยซูและมารีย์ที่รายล้อมไปด้วยผู้นิพนธ์พระวรสารสี่ท่าน(Four Evangelists) ทำหน้าที่เป็นโคมไฟสำหรับทางเดินในโบสถ์หลักและให้แสงสว่างส่องเข้ามาจากด้านบน

เมื่อ Gaudí(เกาดี) เสียชีวิตในปี 1926 (พ.ศ. 2469) มีเพียงส่วนหน้าอาคารของการประสูติ หอระฆัง มุข และห้องใต้ดินเท่านั้นที่สร้างเสร็จ ต่อมาลูกศิษย์ของเขา Domènec Sugranyes(ดูแมนัก ซูกรัญญัส อี กรัส) รับช่วงต่อโครงการนี้ Gaudí(เกาดี) ซึ่งมีหลุมศพอยู่ใต้อาสนวิหาร รู้ว่าเขาคงมีชีวิตอยู่ไม่ได้จนกว่างานของเขาจะเสร็จสมบูรณ์ โดยเชื่อว่าต้องใช้เวลาถึง 200 ปี แต่อย่างที่เขากล่าวไว้ว่า “ผู้อุปถัมภ์โครงการนี้ไม่รีบร้อน” ผลงานของGaudí(เกาดี) รวมถึงส่วนหน้าของพระเยซูประสูติและห้องใต้ดินของซากราดาฟามีเลีย ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 1984 ในปี 2010 โบสถ์ที่ยังสร้างไม่เสร็จได้รับการอุทิศเพื่อการสักการะทางศาสนา และได้รับมอบหมายให้เป็นมหาวิหารรองโดย สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16(Pope Benedict XVI)

งานในโครงการนี้ดำเนินต่อไปนับตั้งแต่ Gaudí(เกาดี) เสียชีวิต หอระฆังที่เหลืออีก 3 หลังของส่วนหน้าอาคารของการประสูติสร้างเสร็จในปี 1930 สงครามกลางเมืองสเปนในช่วงปลายทศวรรษ 1930 ขัดขวางการก่อสร้าง และสูญเสียการออกแบบและแบบจำลองส่วนใหญ่ของ Gaudí(เกาดี) ในเวลาต่อมาเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อความพยายามที่จะดำเนินการต่อ การออกแบบในปัจจุบัน บางส่วนได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ โดยมีพื้นฐานมาจากวัสดุที่ยังหลงเหลืออยู่และสร้างขึ้นใหม่ และการดัดแปลงสมัยใหม่จำนวนหนึ่ง ในปี 1954 ได้มีการวางรากฐานสำหรับส่วนหน้าของอาคาร Passion โดยมีหอระฆัง 4 หอซึ่งสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 1976 ห้องโถงกลางส่วนกลางแล้วเสร็จในปี 2000 และเสร็จในปี 2010 การก่อสร้างต้องหยุดชะงักในต้นปี 2020 เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และ ได้กลับมาดำเนินการอีกครั้งในเดือนตุลาคมของปีนั้น หอคอยแห่งพระแม่มารี ซึ่งตั้งอยู่เหนือมุขของโบสถ์และมีความสูงถึง 138 เมตร (453 ฟุต) เปิดตัวครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2021 โดยมีดาว 12 แฉกด้านบนซึ่งจะส่องสว่างในเวลากลางคืน ในปี 2022 หอคอยที่เป็นตัวแทนของนักบุญมาระโกและนักบุญลูกาผู้เผยแพร่ศาสนาแล้วเสร็จ มีความสูง 135 เมตร (443 ฟุต) หอคอยที่เหลือและโครงสร้างส่วนใหญ่ของโบสถ์มีแผนจะแล้วเสร็จภายในปี 2026 ซึ่งเป็นวันครบรอบหนึ่งร้อยปีการเสียชีวิตของเกาดี คาดว่าจะเป็นอาคารโบสถ์ที่สูงที่สุดในโลก

หยุดพักเบรค มากินขนมน่ารักที่ ร้าน Boldu ขนมเขาจะมีรูปร่างเหมือนตุ๊กตาเล็กๆน่ารัก เปิดมานานตั้งแต่ปี 1939

35d9c0b1d6f29ab0929705811cd5b58c
หน้าตาขนมน่ารักๆ ภาพโดย ujenne

แลนด์มาร์คต่อจากนี้ เป็นศิลปะจาก “อันตอนี เกาดี”
Casa Mila (La Pedrera) รูปลักษณ์ภายนอกเป็นศิลปะออกแบบคล้ายๆมนุษย์ถํ้า ใครที่มาก็อย่าพลาดมาเช็คอินที่นี้ได้ เป็นอีกหนึ่งจุดที่สำคัญ Casa Milà ได้รับการออกแบบโดย Antoni Gaudí (อันตอนี เกาดี) ด้านหน้าอาคารเป็นหินลูกคลื่นและระเบียงเหล็กดัด สื่อถึงสไตล์ธรรมชาติ การตกแต่งภายในสไตล์อาร์ตนูโว ดาดฟ้าพร้อมปล่องไฟแปลกตา และการจัดแสดง Espai Gaudí ในห้องใต้หลังคาให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับอัจฉริยภาพเชิงสร้างสรรค์ของ Gaudí และมรดกทางศิลปะของบาร์เซโลนา

770px Casa Mil%C3%A0%2C general view
Casa Milà ภาพโดย Thomas Ledl

อีกหนึ่งผลงานมาสเตอร์พิชของเกาดี
Casa Mila มีอีกชื่อว่า La Pedrera หมายถึง เหมืองหิน
อาคารแห่งนี้เป็นผลงานออกแบบบ้านชิ้นสุดท้ายของ เกาดี

Casa Batllo สถานที่แห่งที่ 3 ของ เกาดี ในเมือง Barcelona ที่ผู้มาเยือนต้องมาถ่ายรูป ลักษณะโครงสร้างจะออกแปลกๆนิดหนึ่ง คล้ายๆโครงกระดูก ทำให้ภาษาไทยเรียกว่า บ้านโครงกระดูก แต่ถ้าสังเกตุด้านบนจะมีลักษณะคล้ายๆกับ มังกรเลื้อย เขาบอกว่าได้แรงบันดาลใจมากจาก Dragon ลองจินตนาการดูว่าเป็นยังๆไง เพราะมันคือ ศิลปะไม่มีผิดไม่มีถูก

486px Casa Batllo Overview Barcelona Spain cut
Casa Batllo Overview Barcelona Spain ภาพโดย ChristianSchd

อีกหนึ่งเพชรเม็ดงามทางสถาปัตยกรรมของเมือง Barcelona เอาใจคนรักดนตรีกันบ้าง นี้คือ “Palau de la Musica Catalana” หรือว่า พระราชวังแห่งดนตรีของเมืองคาตาลัน ภายในสร้างตั้งแต่ปี 1905 – 1908 สร้างเพื่อให้กับวงดนตรีออร์เคสตราแห่งเมืองคาตาลันให้มาจัดแสดงโชว์นั้นเอง ภายนอกดูสวยงาม มีการออกแบบที่เจ๋ง เหมาะกับการถ่ายรูป และถูกบูรณะซ่อมแซมในปี 1982 – 1989 แล้วก็ได้รับการเป็นมรดกโลกขององค์กรยูเนสโกด้วย ถึงแม้ว่าจะได้รับรางวัลเป็นมรดกโลกเขาก็ไม่ได้หยุดใช้ เขายังใช้ต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ มีการเปิดการซ้อมการแสดง ของวงดนตรีออร์เคสตราอยู่ ถ้าใครอยากชมดนตรีก็สามารถมาได้เลย

Palau de la Música Catalana เป็นห้องแสดงคอนเสิร์ตในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ออกแบบโดยสถาปนิก Lluís Domènech i Montaner เพื่อเฉลิมฉลองเอกลักษณ์และศิลปะของชาวคาตาลัน

Orfeó Català คณะนักร้องประสานเสียงที่เชี่ยวชาญด้านดนตรีคาตาลัน ก่อตั้งขึ้นในปี 1891 เพื่อเผยแพร่รูปแบบดั้งเดิมและคลาสสิก การแสดงร้องเพลงประสานเสียงและความเป็นเลิศทางศิลปะทำให้พวกเขาได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงเปลี่ยนศตวรรษ ในปี 1904 คณะกรรมการบริหารของสมาคมซึ่งในขณะนั้นกำกับโดย Joaquim Cabot นักอัญมณีผู้มีอิทธิพล ได้มอบหมายให้ Lluís Domènech i Montaner สถาปนิกชาวคาตาลันผู้มีชื่อเสียงออกแบบสำนักงานใหญ่และคอนเสิร์ตฮอลล์ของ Orfeó เอง บทสรุปของเขาคือการสร้าง ‘วิหารแห่งศิลปะคาตาลัน พระราชวังเพื่อเฉลิมฉลองยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา’

ปัญหาหลักที่ Domènech i Montaner ต้องเผชิญคือพื้นที่คับแคบ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ สถาปนิกจึงตัดสินใจวางหอประชุมไว้ที่ชั้น 1 และเปลี่ยนชั้นล่างให้เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับถนนด้วยอาร์เคดอันกว้างขวาง Domènech i Montaner ออกแบบอาคารโดยมีโครงสร้างโลหะตรงกลางหุ้มด้วยกระจก ซึ่งสร้างพื้นที่ที่ลื่นไหลซึ่งเล่นกับแสงและเงาได้อย่างยอดเยี่ยม

การออกแบบห้องแสดงคอนเสิร์ตเป็นการผสมผสานระหว่างคุณลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่แปลกตาและผสมผสาน ด้านหน้าตกแต่งด้วยประติมากรรมจำนวนมากและเสาที่ปูด้วยกระเบื้องโมเสค รูปปั้นครึ่งตัวของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ เช่น บาคและเบโธเฟน มีพื้นที่เดียวกันกับกลุ่มประติมากรรมที่เป็นสัญลักษณ์ของเพลงพื้นบ้านของชาวคาตาลัน (ที่มุมส่วนหน้าของส่วนหน้า) ผลงานอันงดงามตระการตาและมีรายละเอียดมากมายนี้ดำเนินการโดย Miquel Blay หนึ่งในศิลปินที่มีชื่อเสียงที่สุดในคาตาโลเนีย ในช่วงเปลี่ยนศตวรรษที่ 20 Cançó Popular Catalana เขาพรรณนาถึงหญิงสาวเทวทูตที่รายล้อมไปด้วยตัวละครจากชนชั้นทางสังคมต่างๆ เหนือกลุ่มคือนักบุญอุปถัมภ์ของคาตาโลเนีย Sant Jordi (หรือนักบุญจอร์จ) แขนดาบของเขาปกป้องพวกเขา องค์ประกอบนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงให้เห็นว่าโครงสร้างนี้สร้างขึ้นสำหรับทุกคน โดยไม่คำนึงถึงชนชั้นหรือความมั่งคั่ง

ข้างใน มีไปป์ออร์แกนตั้งอยู่ด้านบนและด้านหลังเวทีที่ปลายสุดของหอประชุมวงรีขนาดใหญ่ สกายไลท์กระจกสี ตรงกลางซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์ เติมเต็มห้องด้วยแสงธรรมชาติและสีสันที่เปลี่ยนไปตลอดทั้งวัน Domènech i Montaner ได้รวมองค์ประกอบตกแต่งในธีมดอกไม้ไว้ทั่วทั้งห้องโถง เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความสุขและการมองโลกในแง่ดี ด้านหลังเวทีตกแต่งด้วยตราแผ่นดินของแคว้นคาตาโลเนีย ซึ่งขนาบข้างด้วยเครื่องดนตรี 18 ชิ้นที่ถือเครื่องดนตรี ซึ่งส่วนบนแกะสลัก และส่วนล่างเป็นภาพโมเสกสีสันสดใส พวกเขาเป็นสัญลักษณ์ของรูปแบบดนตรีต่างๆ และรวบรวมจิตวิญญาณของคอนเสิร์ตฮอลล์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ยินดีต้อนรับทุกประเภท – การแปลสถาปัตยกรรมที่ประสบความสำเร็จของอุดมการณ์ที่ครอบคลุมและเสรีนิยมของ Orfeó

ในช่วงปี 1980s คอนเสิร์ตฮอลล์ได้รับการตกแต่งใหม่ ทันสมัย ​​และขยายใหญ่ขึ้นภายใต้การดูแลของสถาปนิกและนักประวัติศาสตร์ศิลปะ Òscar Tusquets แต่ยังคงรักษาความสมบูรณ์และเสน่ห์ดั้งเดิมเอาไว้ ปัจจุบัน Palau de la Música Catalana เป็นหอแสดงคอนเสิร์ตสไตล์อาร์ตนูโวเพียงแห่งเดียวที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก สถานที่นี้ไม่เพียงแต่เป็นการเฉลิมฉลองทางดนตรีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเอกลักษณ์และศิลปะของชาวคาตาลันในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 อีกด้วย

799px Palau de la M%C3%BAsica Catalana Palace of Catalan Music %28Image 2%29
ภายใน Palace of Catalan Music ภาพโดย Tudoi61

อีกหนึ่งไฮไลท์คือหนึ่งจุด ก็คือบริเวณ เสา ที่มีการประดับประดาไปด้วยโมเสด มีช่องเล็กๆเป็นช่องกระจก สมัยก่อนเขาขายตั๋วตรงนั้น แต่ตอนนี้ย้ายไปอยู่ข้างในแล้ว โรงละครแห่งนี้จุได้ถึง 2,200 คน และเป็นโรงละครแห่งเดียวในยุโรปที่ภายในโรงละครข้างบนจะเป็นกระจกใส เวลากลางวันสามารถรับแสงพระอาทิตย์จากภายนอกได้อีกด้วย

751px Palau de la M%C3%BAsica Catalana %28Barcelona%29 10
Palace of Catalan Music ภาพเสามีช่องเล็กๆเป็นช่องกระจก ภาพโดย Jaume Meneses

สำหรับใครที่เป็นแฟนดนตรีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ดนตรีต้องชื่นชอบอยู่แน่นอน เพราะด้านหน้ามีรูปปั้นของสุดยอดบุคคลที่มีความสำคัญทางด้านดนตรีโลก โรงละครแห่งนี้มีทั้งความสวยงามและประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ

ผู้ออกแบบ Palau De La Musica Catalana
คือ LIuis Domenech i Montaner สถาปนิกชาวสเปน
ที่เป็นต้นกำเนิดแนว Modernisme Catala
และเป็นอาจารย์คนสำคัญที่สอน Antoni Caudi

สถานที่สุดท้ายของเมือง Barcelona คือ Tibidabo เป็นภูเขาสูงสุดของ Barcelona บนนี้เราจะเห็นวิวของ Barcelona ทั้งเมือง บนนี้จะมี 2 สถานที่ที่หลายคนชอบขึ้นมากัน นั้นก็คือ สวนสนุก และโบสถ์ บนนี้มีโบสถ์ที่ถือได้ว่าศักดิ์สิทธิ์ของ Barcelona เลย ชื่อว่า Tibidabo church ด้านบนสุดจะมีรูปปั้นพระเยซูกางแขน ที่พระเยซูกางแขน หมายถึงว่า พระเยซูโอบกอดเมือง Barcelona อยู่ ให้ชาวเมืองมีความสุขและมีความปลอดภัยจากทุกสิ่งทุกอย่าง

436px Temple del Sagrat Cor vist des de la Talaia del Tibidabo
Tibidabo church ภาพโดย Jordiferrer

เมือง Madrid

เราถึงเมือง Madrid ทำเหมือนคนสมัยก่อน ก่อนจะเข้าเมือง เราก็ต้องผ่านประตูก่อน ประตูนั้นก็คือ “Puerta de Alcala” ประตูเมืองประจำเมือง Madrid โดยกษัตริย์การ์โลสที่ 3 ประตูแห่งนี้เป็นประตูเมืองทางด้านทิศตะวันออกของกรุง Madrid มีทั้งหมด 5 ประตู โดย 3 ช่องตรงกลางค่อนข้างใหญ่ เป็นมุมโค้ง และถ้าสังเกตุด้านบนสุดที่มีภาษาสเปนเขียนอยู่ แปลว่า แด่กษัตริย์การ์โลสที่ 3 เพราะว่ากษัตริย์การ์โลสที่ 3 เป็นคนสั่งให้สร้างประตูนี้ขึ้นมา บริเวณด้านหน้าของประตูจะเป็นสวนที่ดอกไม้สวยงาม โดยเขาจะปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เราก็จะสามารถแวะมาถ่ายรูปกันได้ เพื่อความสวยงามและเป็นสถานที่แรกที่เรามาเช็คอินกัน

ประตู Alcala หรือ Puerta de Alcalá เป็นประตูชัย สไตล์นีโอคลาสสิกใน Plaza de la Independencia ในกรุงมาดริด ชื่อนี้หมายถึงเส้นทางเก่าจากมาดริดไปยังเมืองอัลกาลาเดเอนาเรส(Alcalá de Henares)

เดิมประตูนี้เป็นส่วนหนึ่งของอดีตกำแพงพระเจ้าฟิลิปที่ 4 ซึ่งล้อมรอบกรุงมาดริดระหว่างปี 1625 ถึง 1868 พระเจ้าฟิลิปที่ 4 ได้ต่อเติมและขยายกำแพงยุคกลางซึ่งมีจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นของมาดริดแซงหน้ามายาวนาน จุดประสงค์ของพวกเขาไม่ใช่การป้องกัน แต่ช่วยควบคุมการไหลเวียนของสินค้าเข้าเมืองและการเก็บภาษี

ในปี 1774 พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 แห่งราชวงศ์บูร์บง ทรงมอบหมายให้สถาปนิกชาวอิตาลี ฟรานเชสโก ซาบาตินี(Francesco Sabatini) ดูแลการสร้างประตูอนุสาวรีย์ ที่ถนนอัลคาลาจะผ่านไป และกษัตริย์ก็สามารถเข้ามาในเมืองได้อย่างมีชัย ประตูห้าโค้งของ Sabatini สร้างขึ้นด้วยหินแกรนิตเป็นส่วนใหญ่ เป็นประตูแรกที่สร้างขึ้นหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน การก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 1778 และประตูสูง 19.5 เมตรตั้งตระหง่านอยู่เหนือประตูทางเข้ากรุงมาดริดทั้งหมด

กำแพงล้อมรอบประตูอัลคาลาถูกทำลายลงในปี 1868 ระหว่างการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ของสเปน เนื่องจากถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์อิซาเบลาที่ 2 กษัตริย์ในขณะนั้น ซึ่งถูกโค่นล้มระหว่างการปฏิวัติ เมื่อสเปนเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความโกลาหลอีกครั้งในช่วงสงครามกลางเมือง ภาพวาดขนาดมหึมาของสตาลินและผู้บังคับการตำรวจของสหภาพโซเวียตแขวนอยู่บนประตู ครอบคลุมคำจารึกของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ด้วยธงชาติโซเวียต

ในปี 2001 มีการเพิ่มสวนหลายแห่งและแสงไฟยามค่ำคืนที่สวยงามไว้ที่ประตูหลังจากที่มาดริดได้รับเลือกให้เป็นเมืองหลวงหนังสือโลก ซึ่งเป็นเกียรติที่สะท้อนทิศทางดั้งเดิมของประตูไปยัง Alcalá บ้านเกิดของนักเขียนชาวสเปน Cervantes ซึ่งเป็นที่รู้จักจากการเขียน ‘Don Quixote’

800px Puerta de Alcal%C3%A1%2C Madrid%2C Espa%C3%B1a%2C 2017 05 18%2C DD 14
Puerta de Alcala ประตูเมืองประจำเมือง Madrid ภาพโดย Diego Delso

เดินผ่านประตูเข้ามาเราจะเจอสวน “EI Retiro Park (Parque de EI Retiro)” สวนตรงนี้ในสมัยก่อนในปี 1800 บริเวณนี้เป็นพระราชวังและเขาก็เปิดให้ประชาชนทั่วไป เข้ามาใช้เป็นสวนสาธารณะในเวลาต่อมา มีกิจกรรมมากมาย เช่น พายเรือ นั่งชิล ปิกนิก วิ่งออกกำลังกาย พักผ่อน ที่สำคัญเปิดให้เข้าฟรี มีอนุสาวรีย์ของพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 12 แห่งประเทศสเปน สร้างไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์แล้วก็อนุสรณ์สถานสำหรับท่าน มีความสวยงามมาก คนที่เป็นสถาปนิกที่ออกแบบอนุสาวรีย์นี้ เขาต้องชนะการประกวดจึงจะได้ออกแบบ

800px Parque del Retiro en Madrid%2C monumento a Alfonso XIII panoramio
อนุสาวรีย์ของพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 12 ในสวน EI Retiro Park ภาพโดย cesar.ruiz

มาถึงโซน พระราชวังเรือนกระจก ที่มุมถ่ายรูปที่สวยงามมากๆ มีใบไม้เปลี่ยนสี เขียวสลับส้มมากมาย

800px MADRID 051023 MXALX 033
พระราชวังเรือนกระจก ในสวน EI Retiro Park ภาพโดย Max Alexander / PromoMadrid

มาเที่ยวกินอาหารประจำชาติสเปน นั้นก็คือ Tapas Toure 
Tapas เป็นวัฒนธรรมการกินของชาวสเปนมาช้านาน คือ ทาปา แปลว่า ฝาที่ครอบอาหารอยู่ ทาปา จึงหมายถึง อาหารที่เรากินรองท้องก่อนที่จะไปกินเครื่องดื่มต่างๆ และจะมีวัฒนธรรมการกินที่ไม่ได้อยู่กับที่เป็นระยะเวลานาน คือจะเดินกินร้านอื่นๆไปเรื่อยๆ แล้วดูว่าแต่ละร้านมีเสน่ห์ที่แตกต่างกันยังไง

800px TapasenBarcelona
Tapas en un establecimiento de Barcelona ภาพโดย Elemaki

 

800px Tapas 01
Tapas assortment ภาพโดย Arnaud 25

ตอนนี้เรายังอยู่ที่เมือง Madrid บนถนนแห่งความอร่อยกับ Tapas เมนูอาหารว่างพอดีคำที่มีร้านอยู่เรียงรายสองข้างทาง มา ชิมTapas กันต่อที่ ร้าน Casa Gonzalez ร้านนี้จะเชี่ยวชาญด้านองุ่นหมัก ร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1931 Tapas นั้นขึ้นอยู่กับร้านเลยว่าจะเสิร์ฟเราแบบไหน ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน เพราะTapas จริงๆแล้วมันก็คือ อาหารว่างคำเล็กๆก่อนที่จะไปกินมื้อใหญ่ ร้านนี้ไม่มีขนมปัง แต่เด่นเรื่อง ชีส ทางร้านจัด 3 ชีสมาเลย ชีสจากแพะ แกะ และวัว เป็นชีส 3 แบบ ที่ทำจากนมของสัตว์ 3 ชนิด ส่วนอีกด้านเป็น แฮม ที่ทำจากหมูพิเศษของสเปน เรียกว่า Iberico Ham ทั้งสองอันทำจากหมูเหมือนกันแต่อีกอันจะทำแบบ Salami

08.Casa Gonz%C3%A1lez 01
หน้าร้าน Casa Gonzalez

มาต่อกันอีกที่ ร้าน Taberna de la Elisa ตึกสวยงามมากแตกต่างจากบริเวณอื่นๆของย่านนี้ ตึกสีแดงน่าสนใจอายุร้อยกว่าปีแล้วบรรยากาศเก่าแก่ตั้งแต่ปี 1907 เราชิมTapas ที่นี้เป็นร้านสุดท้าย มีหลายสไตล์จริงๆ ที่นี้มีมันฝรั่งทอด มันฝรั่งที่ปั้นเป็นก้อนแล้วเอาไปทอด ใส้เป็นชีส มีส่วนมันของ Iberico Ham บางๆ แปะไว้ด้านบน และยังมีหมูกรอบ ผลไม้ด้วย

7f5f1a23a2fe2afebde2553215443d90
หน้าร้าน Taberna de la Elisa

ชาวสเปนหรือชาวยุโรปหลายๆประเทศชอบทานของหวานเป็นอาหารเช้าพร้อมกับกาแฟหรือช็อกโกแลตซักแก้ว วันนี้เราลองมาเริ่มต้นอาหารแบบชาวสเปน นั้นก็คือ ชูร์โร หรือ ชูรู หรือบางครั้งเรียกว่า “ปาท่องโก๋สเปน” (Churros) เป็นทั้งอาหารตอนเช้า ของว่าง ของคนสเปน บวกกับช็อกโกแลตซักแก้ว แล้วร้านที่จะแนะนำนี้ คือร้าน Chocolateria San Gines เปิดตั้งแต่ 1892 เป็นร้านที่โด่งดังและเก่าแก่มากๆ อายุกว่า 120 ปี มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาตลอด มีคิวที่เยอะมาก ประเทศที่กินชูร์โรไม่ใช่เฉพาะคนสเปน มีประเทศอื่น เช่น โปรตุเกส ฟิลิปปินส์ สหรัฐอเมริกา และประเทศในยุโรปอื่น คนสเปนนิยมทานกับช็อกโกแลตร้อนๆ

1000 F 265531551 pyrl4wiLkvPStehWmcwKRnu2LtgBIAuy
Churros กับ ช็อกโกแลต ภาพโดย myviewpoint

 

chocolateria san gines
หน้าร้าน Chocolateria San Gines เปิดตั้งแต่ 1894

มีตลาดหนึ่งที่น่าสนใจมาก มีความสวยงาม สะอาดและทันสมัยที่นี้คือ ตลาด Mercado de San Miguel บรรยากาศภายในดูโมเดิร์น ในสมัยก่อนทาง Madrid ต้องการตลาดสด ก็เลยสร้างตลาดแห่งนี้มา แต่ในปัจจุบันปรับเปลี่ยนใหม่แต่ใช้ที่เดิมทำให้ทันสมัยขึ้นและเปลี่ยนเป็นตลาด Tapas มี Tapas จัดเต็มหลากหลายสไตล์หน้าตารสชาติ กินไม่หมดแน่นอน

ตลาดซานมิเกล (สเปน Mercado de San Miguel) เป็นตลาดในร่มที่ตั้งอยู่ในกรุงมาดริด ประเทศสเปน เดิมสร้างขึ้นในปี 1916 และถูกซื้อโดยนักลงทุนเอกชนในปี 2003 โดยได้ปรับปรุงโครงสร้างเหล็กและเปิดอีกครั้งในปี 2009

เวลาผ่านไปกว่า 100 ปีแล้วนับตั้งแต่ Mercado de San Miguel เปิดประตูสู่ตลาดอาหารขายส่ง ปัจจุบัน อาคารเก่าแก่แห่งนี้โดดเด่นในฐานะ หนึ่งในตลาดอาหารหลักของโลก ช่วยให้ผู้เยี่ยมชมได้สัมผัสกับแก่นแท้และรสชาติที่สำคัญที่สุดของทุกมุมของสเปน

ตั้งแต่ แฮมไอบีเรีย (Iberian ham) ที่ดีที่สุด ปลาและหอยสดใหม่ที่นำเข้าทุกวันจาก กาลิเซีย(Galicia) ไปจนถึงเมนูข้าวเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean rice) และชีสชั้นเลิศจากแคว้น คาสตีล(Castile) อัสตูเรียส(Asturias) และแคว้นบาสก์(Basque)

ที่ Mercado de San Miguel คุณจะพบกับไฮไลท์ทั้งหมดของอาหารสเปน โดยส่วนใหญ่ของที่นี่ คือความมุ่งมั่นในการนำเสนอ ทาปาส (tapas) และ pub food คุณภาพสูงที่กระจายอยู่บนแผงกว่า 20 แผง

ตลาดซานมิเกล เป็นตลาดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในกรุงมาดริดในหมู่นักท่องเที่ยว เนื่องจากตั้งอยู่ในใจกลางกรุงมาดริด สามารถเดินไปยัง Plaza Mayor ได้ ตลาดนี้ไม่ใช่ตลาดขายของชำแบบดั้งเดิม แต่เป็นตลาดทาปาส (Tapas) ระดับกูร์เมต์ โดยมีผู้ค้ากว่า 30 รายขายทาปาส แฮม มะกอก ขนมอบ และอาหารอื่นๆ ที่ปรุงสดใหม่หลากหลายชนิด นอกจากนี้ยังมีเบียร์ ไวน์ และแชมเปญให้บริการอีกด้วย

1024px Wine and cheese snacks Mercado de San Micuel Madrid
ของว่างไวน์และชีส ในแผงขายของที่ Mercado de San Miguel ในมาดริด ภาพถ่ายโดย Sbharris
1024px
มุมมองภายนอกในเวลากลางวันของ Mercado de San Miguel ในมาดริด ภาพโดย Sbharris
349174 Mercado De San Miguel
มุมมองภายนอกในเวลากลางคืนของ Mercado de San Miguel ในมาดริด ภาพโดย expedia.ca

ถ้ามายุโรป วิธีที่ดีที่สุดในการเดินทาง คือ การเดิน เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง ร้านอาหาร แลนด์มาร์ค จะอยู่ใกล้กัน ที่นี่คือ ปวยร์ตา เดลซอล (Puerta del Sol) ตรงนี้คือจัตุรัสเก่ากลางเมือง เป็นจัตุรัสแรกๆของเมือง Madrid เลยก็ว่าได้ มีรูปปั้นของกษัตริย์การ์โลสที่ 3 เป็นผู้ที่นำความเจริญมาสู่กรุง Madrid ทั้งสร้างสวนสาธารณะ วางรากฐานเมืองต่างๆ ทำให้เขาสร้างอนุสาวรีย์นี้ขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ท่านกษัตริย์การ์โลสที่ 3 ทำไมถึงชื่อว่า del Sol โซ แปลว่าพระอาทิตย์ ทำให้คนไทยเรียกตรงนี้ว่า จัตุรัสพระอาทิตย์ มีจุดหนึ่งที่เราจะต้องไป คือ หลักกิโลเมตรที่ 0 (Origen de las carreteras radiales) มีความเชื่อว่าถ้าเราไปเหยียบตรงนั้นเราจะได้มีโอกาสกลับมาที่ Madrid อีกครั้ง

ประวัติความเป็นมาของ Puerta del Sol เป็นส่วนสำคัญของความทรงจำของ Villa de Madrid (เมืองหลวงของสเปน) ไม่เพียงเพราะ Puerta del Sol เป็นจุดที่มีทางผ่านบ่อยๆ แต่ยังเป็นเพราะว่ามันถือเป็น “จุดศูนย์กลาง” ของการวางผังเมืองของกรุงมาดริด จัตุรัสแห่งนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์จากจุดเริ่มต้นที่ไม่แน่นอนในฐานะถนนที่กว้างใหญ่และไม่มีตัวตนในศตวรรษที่ 16

คำบรรยายของนักเดินทางกลุ่มแรก จะเห็น การต้อนรับของกษัตริย์ การกบฏของประชาชน การประท้วง ฯลฯ ถือเป็นฉากเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของเมือง ตั้งแต่การต่อสู้กับผู้รุกรานชาวฝรั่งเศสในปี 1808 ไปจนถึงการประกาศ สาธารณรัฐครั้งที่สอง ในปี 1931 และยังคงรักษาตำแหน่งของตนไว้เป็นตัวเอกของประเพณีการเสิร์ฟองุ่น 12 ผล ในวันส่งท้ายปีเก่า ด้วยเสียงระฆังที่ดังจากนาฬิกา Correos ปัจจุบันเป็นศูนย์กลางการสื่อสาร จุดนัดพบ สถานที่นัดหมาย สถานที่เฉลิมฉลอง และจุดเริ่มต้นของการชุมนุมในเมืองหลวง

ในช่วงวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่รุนแรงนี้ Puerta del Sol ได้รับความนิยมจากกรุงมาดริดในช่วงเวลาต่างๆ นับตั้งแต่เริ่มต้น ตำแหน่งในภูมิศาสตร์เมืองของมาดริดทำให้ที่นี่มีบทบาทในฐานะสถานที่พบปะทางสังคม ซึ่งบางครั้งเรียกว่า ฟอรัมมาทริเทนส์(forum matritense) นอกจากนี้ยังได้รับการกำหนดให้เป็น “Plaza y foro” ของสเปนโดย Antonio Machado และÁngel Fernández de los Ríos กล่าวว่า “ไม่มีที่ดินสักตารางนิ้วเดียวท ที่ไม่ได้รับเลือดของผู้รักชาติ ผู้รักชาติ หรือนักปฏิวัติ”

จากมุมมองทางสถาปัตยกรรม Puerta del Sol เป็นทางเดินที่กว้างและเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เป็นจุดบรรจบของถนนที่ดูเหมือนจัตุรัสในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ในพื้นที่นี้ ถนนหลายสิบสายมาบรรจบกัน ซึ่งในศตวรรษที่ 18 มีเพียงสิบเอ็ดแห่งเท่านั้น Puerta del Sol ได้รับการปรับปรุงเมืองต่างๆ ตลอดประวัติศาสตร์ โดยงานที่สำคัญที่สุดคืองานที่ได้รับการดำเนินการในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ในหลายกรณี การพัฒนาเมืองที่ดำเนินการตลอดประวัติศาสตร์ได้ค่อยๆ ทำลายอาคารสำคัญๆ ในอดีต มีเพียงอาคาร Casa de Correos เก่า ซึ่งต่อมาเคยเป็นสำนักงานใหญ่ของกระทรวงมหาดไทย และปัจจุบันเป็นสำนักงานใหญ่ของชุมชนมาดริด เป็นอาคารที่เก่าแก่ที่สุดใน Puerta del Sol ปัจจุบัน ที่เก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับสองคือ Casa Cordero ซึ่งตลอดประวัติศาสตร์ของจัตุรัสได้เปลี่ยนแปลงการใช้งาน

Puerta del Sol สร้างความตื่นเต้นให้นักเขียนหลายคนตั้งแต่เริ่มต้นประวัติศาสตร์ และหลายคนได้รวมพื้นที่นี้ไว้ในผลงานวรรณกรรมของพวกเขาด้วย Ramón Gómez de la Serna และ Generation of ’98  ในผลงานของพวกเขาเกี่ยวกับมาดริด ได้บรรยายถึงบรรยากาศทางสังคมของศูนย์แห่งนี้ ในนั้นบรรยายถึงแอนิเมชั่นที่มีอยู่ของกิจกรรมในเวลากลางวัน จาก Lope de Vega ไปจนถึง Ramón Gómez de la Serna คำอธิบายวรรณกรรมอยู่บ่อยครั้ง อาจเป็นเพราะการรวมตัวกันทางวรรณกรรมของศตวรรษที่ 19 ในร้านกาแฟที่มีชื่อเสียง

1024px Madrid Puerta del Sol 51454839271
บริเวณใจกลาง Puerta del Sol ยามพลบคํ่า ภาพโดยJorge Franganillo
ภาพนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง ลองเหยียบเท้าลงบนหลักกิโลเมตรที่ 0 (Origen de las carreteras radiales) มีความเชื่อว่าถ้าเราไปเหยียบตรงนั้นเราจะได้มีโอกาสกลับมาที่ Madrid อีกครั้ง

มาพักเบรคทานอาหารกันก่อน ที่ร้านอาหารที่ใครไปเที่ยว Madrid ควรจะมาร้านนี้ เพราะเป็นร้านอาหารที่เก่าแก่ที่สุดในโลก โดย Guinness World Records บันทึกไว้ว่ามีอายุกว่า 300 ปี ร้านนี้มีเรียกว่า Botin Restaurant เปิดตั้งแต่ปี 1725 บรรยากาศแบบยุโรปสมัยก่อน รอบๆตกแต่งด้วยรูปภาพต่างๆ ร้านนี้ปัจจุบันมีชื่อว่า Sobrino de Botín เริ่มแรกร้านนี้ชื่อ Casa Botín Botín เป็นชื่อของชายชาวฝรั่งเศส ที่เดินทางมาที่สเปน แล้วก็เปิดร้านอาหารร้านนี้ขึ้นมา เลยใช้ชื่อ Casa ที่แปลว่า บ้าน Casa Botín คือ บ้านของBotín นั้นเอง แต่เวลาผ่านไป ร้านนี้ก็ถูกเปลี่ยนชื่อโดยลูกหลานของเขาเป็น Sobrino de Botín Sobrino มีความหมายว่า หลาน ร้านนี้จึงได้ชื่อว่า หลานของ Botín นั้นเอง

ร้านอาหารแห่งนี้ขึ้นชื่อในเรื่องสูตรอาหารแบบดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น และยังคงปรุงอย่างพิถีพิถัน เมนูขึ้นชื่อ ได้แก่ หมูหันย่างและเนื้อแกะปรุงในเตาฟืนที่ใช้มาตั้งแต่เปิดร้านอาหาร

ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของร้านอาหารยังได้รับการเน้นย้ำด้วยการเชื่อมโยงกับบุคคลที่มีชื่อเสียง ศิลปิน Francisco de Goya ทำงานที่นั่นเป็นพนักงานเสิร์ฟก่อนที่เขาจะได้รับการยอมรับเข้าสู่ Royal Academy of Fine Arts นอกจากนี้ Sobrino de Botín ยังได้รับการกล่าวถึงในวรรณกรรม เช่น ในนวนิยายของ Ernest Hemingway เรื่อง “The Sun also Rises” และหนังสือของ Benito Pérez Galdós เรื่อง Fortunata y Jacinta

ปัจจุบัน Sobrino de Botín ยังคงเป็นสถานที่สำคัญด้านอาหาร โดยนำเสนอเรื่องราวประวัติศาสตร์และประเพณีอันยาวนานของกรุงมาดริดผ่านอาหารและบรรยากาศของร้าน

เรื่องราวของ Botín ย้อนกลับไปถึงการก่อตั้งกรุงมาดริด เมื่อกษัตริย์ฟิลิปที่ 2 ทรงสั่งให้ราชสำนักย้ายไปมาดริดในปี 1561 พระองค์ทรงเปลี่ยนเมืองชนบทเล็กๆ แห่งนี้ให้เป็นเมืองหลวงของประเทศ เมืองนี้มีการก่อสร้างใหม่ๆ หลั่งไหลเข้ามามากมาย ซึ่งรวมถึงอาคารที่ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ Botín ซึ่งสร้างขึ้นในปี 1590 ปัจจุบัน ห้องใต้ดินดั้งเดิมสมัยศตวรรษที่ 16 ยังคงใช้เก็บไวน์ของร้านอาหาร

ในช่วงต้นทศวรรษ 1700 เชฟชาวฝรั่งเศส Jean Botín ย้ายครอบครัวของเขาไปที่มาดริดเพื่อทำงานเป็นเชฟในวัง หลานชายของเขาเปิดร้านอาหารในปี 1725 โดยใช้ชื่อว่า Sobrino de Botín (หลานชายของBotín) ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา ร้านอาหารแห่งนี้เสิร์ฟอาหารแบบดั้งเดิมแสนอร่อยแก่นักชิมในท้องถิ่นและแขกผู้มีชื่อเสียง เช่น เฮมิงเวย์ เบนิโต เปเรซ กัลโดส และกษัตริย์แห่งสเปน พนักงานที่มีชื่อเสียงก็เคยผ่านมาเช่นกัน กล่าวกันว่า Francisco Goya เคยล้างจานที่นี่ในปี 1765 ก่อนที่เขาจะกลายเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง

ปัจจุบัน เนื้อย่างที่ย่างโดยช้าๆ เป็นอาหารจานพิเศษของร้าน Botín และผู้คนจะมาเพื่อลอง Cordero Lechal (ลูกแกะย่าง) และ Cochinillo(หมูย่างสเปน) อันโด่งดัง คุณจะได้เห็นคนมาทานหนังกรอบของหมูกรอบทั่วทั้งร้านในขณะที่คุณเพลิดเพลินกับมื้ออาหาร เนื้อ – สุกรและลูกแกะชื่อดังของเซโกเวีย  ซึ่งมาถึง 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์จากฟาร์มในจังหวัดใกล้เคียงอย่าง Sepúlveda, Aranda และ Riaza นอกจากส่วนผสมแล้ว ส่วนหนึ่งของสิ่งที่ทำให้มื้ออาหารมีความพิเศษก็คือเตาอบ เป็นเตาอบแบบเดียวกับที่ใช้ในปี 1725 และมีตำนานเล่าว่าไฟที่เติมเชื้อเพลิงไม่เคยดับลง

ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 Amparo และ Emilio Gonzalez ได้ซื้อ Sobrino de Botín พวกเขาอาศัยอยู่ที่ร้านอาหารและทำงานร่วมกับลูกสามคน

จุดเริ่มต้นของสงครามกลางเมืองสเปนในช่วงทศวรรษที่ 1930 ทำให้แผนการขยายธุรกิจสิ้นสุดลง อัมปาโร(Amparo) หนีออกจากเมืองพร้อมกับลูกๆ ขณะที่ เอมิลิโอ(Emilio Gonzalez) อยู่บ้านเพื่อดูแลบ้าน ทำให้ร้านอาหารกลายเป็นโรงอาหารของทหาร รอยแผลเป็นจากสงครามยังคงปรากฏให้เห็นจนทุกวันนี้ และระเบียงด้านบนที่ถูกทำลายด้วยเศษกระสุนก็ไม่เคยได้รับการซ่อมแซม

ปัจจุบัน Botín ดำเนินการโดยครอบครัว Gonzalez รุ่นที่สาม ซึ่งกลับมาหลังจากสงครามเพื่อสร้างใหม่ พวกเขามีอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดแห่งหนึ่งในเมือง และถนนโดยรอบก็เริ่มที่จะเปลี่ยนไปตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ ครั้งหนึ่งเคยมีร้านเหล้าท้องถิ่นและร้านขายของชำสำหรับ mom and pop ปัจจุบันมีเครือร้านทาปาส และ ร้านขายของที่ระลึก

แต่ครอบครัว Gonzalez รอดชีวิตมาได้ และพวกเขาก็เปลี่ยนแปลง Botín อันเป็นที่รักเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ที่นี่ยังคงเป็นโอเอซิสของชีวิตแบบดั้งเดิมในใจกลางกรุงมาดริดสมัยใหม่ และถ้าคุณไม่ระวัง คุณจะเดินผ่านไปโดยไม่สังเกตเห็น

Botin in Madrid
หน้าร้าน Sobrino de Botín พร้อมผู้คน ภาพโดย matadornetwork
349374 Sobrino De Botin
ภายในร้าน Sobrino de Botín เป็นห้องใต้ดิน ภาพโดย vrbo
c9eef3b70b1f77bc46c2547f154d1c05
เตาอบ ที่ร้าน Sobrino de Botín ก่อตั้งขึ้นในปี 1725 เป็นร้านอาหารที่เก่าแก่ที่สุดในโลกในกรุงมาดริด ประเทศสเปน ภาพจาก pinterest

มาต่อกันที่ร้านขายขนมที่เป็นลูกอมชนิดแรกของกรุง Madrid ชื่อร้าน La Violeta ขายลูกอมดอกอัญชัน สมัยก่อนเด็กๆ แถว กรุง Madrid จะเอานํ้าตาลก้อนมากินแทน แต่การกินนํ้าตาลก้อนอย่างเดียวมันแปลกๆ และแถวนี้มีดอกอัญชันเยอะ ก็เลยคิดค้นเอาดอกอัญชันมาผสมกับนํ้าตาลกลายเป็น ลูกอมดอกอัญชัน

caja violetas 100 g
CAJA VIOLETAS โดย lavioletaonline

ความพิเศษของลูกอมดอกอัญชัน มีรสชาติสุดพิเศษที่หลากหลาย สีม่วงอันเป็นสัญลักษณ์ที่มีเสน่ห์เหนือกาลเวลา จะนำคุณไปสู่ประวัติศาสตร์อันยาวนานของกรุงมาดริด ความนุ่มละมุนของลูกอม ซึ่งแต่ละลูกสร้างสรรค์ขึ้นด้วยความทุ่มเทแบบเดียวกันที่ทำให้ ร้าน La Violeta มีความโดดเด่นมาตั้งแต่ปี 1915

lg b 81 1 la violeta tienda de caramelos bombones centenaria fachada
หน้าร้าน La Violeta ภาพโดย lavioletaonline

ไปมาดูกันต่อกับความยิ่งใหญ่ของพระบรมมหาราชวังแห่งสเปน Royal Palace of Madrid (Palacio Real) อาคารยุคโกธิคตอนปลาย สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าเฟลิเปที่ 5 เป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันตก ปัจจุบันกษัตริย์สเปนไม่ได้พักอยู่ที่พระราชวังแห่งนี้แล้ว ที่นี่จึงถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับจัดพิธีสำคัญของรัฐบาลสเปน

พระราชวังหลวงแห่งมาดริด พระราชวังขนาดใหญ่สมัยศตวรรษที่ 18 ในใจกลางกรุงมาดริด ซึ่งเป็นที่ประทับอย่างเป็นทางการของราชวงศ์สเปน แม้ว่าราชวงศ์สเปนจะไม่ได้อาศัยอยู่ที่นั่นแล้ว แต่ก็อยู่ใน Palacio de la Zarzuela ซึ่งตั้งอยู่ชายขอบของเมือง อย่างไรก็ตาม พระราชวังแห่งมาดริดถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ของรัฐ และเมื่อไม่ได้ใช้งาน บางส่วนของพระราชวังก็เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้

พระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยครอบครองโดยป้อมปราการอิสลามสมัยศตวรรษที่ 9 ที่สร้างโดยโมฮัมเหม็ดที่ 1 ประมุขแห่งกอร์โดบา(Emir of Córdoba) เพื่อปกป้องโทเลโด(Toledo) ซึ่งต่อมาถูกใช้เป็นระยะโดยกษัตริย์แห่งแคว้นคาสตีล(the kings of Castile) เมื่อสเปนกลับมาควบคุมเมืองในปี ค.ศ. 1083 กษัตริย์ฟิลิปที่ 2 แห่งสเปนได้ย้ายราชสำนักไปที่นั่นในปี ค.ศ. 1561 จากนั้นป้อมปราการก็เปิดทางให้กับปราสาทที่รู้จักกันในชื่ออันติกูโอ อัลกาซาร์(the Antiguo Alcázar) หรือ ปราสาทเก่า ปราสาทในศตวรรษที่ 16

หลังจากที่อาคารถูกไฟไหม้ในปี 1734 กษัตริย์ฟิลิปที่ 5 ทรงตัดสินพระทัยให้สร้างพระราชวังใหม่ในบริเวณเดียวกัน โครงสร้างใหม่นี้ทำจากหินและอิฐทั้งหมดแทนที่จะเป็นไม้ เพื่อลดความเสี่ยงจากไฟไหม้ งานก่อสร้างเริ่มต้นในปี 1738 และแล้วเสร็จในปี 1764 สถาปนิกจำนวนหนึ่งมีส่วนร่วมในโครงการนี้ รวมถึงสถาปนิกชาวอิตาลีชื่อดัง Francisco Sabatini และสวนอันงดงามที่อยู่ทางเหนือของพระราชวังได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา อาคารหลังนี้ถูกใช้เป็นที่ประทับครั้งแรกโดยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ในปี 1764 ต่อมามีการปรับปรุงใหม่โดยกษัตริย์เฟอร์ดินานด์ที่ 7 และพระราชนัดดาของพระองค์ กษัตริย์อัลฟองโซที่ 12 กษัตริย์องค์สุดท้ายที่ประทับในพระราชวังคือพระเจ้าอัลฟองโซที่ 13

พระราชวังอันกว้างใหญ่นี้มีพื้นที่ 1.5 ล้านตารางฟุต (135,000 ตารางเมตร) และมีห้องมากกว่า 1,400 ห้อง เป็นที่ตั้งของงานศิลปะที่สำคัญจำนวนหนึ่งโดยจิตรกรเช่น Francisco Goya, Giovanni Battista Tiepolo, Diego Velázquez และ Caravaggio รวมถึงคอลเลกชันเครื่องดนตรีที่ทำโดยช่างฝีมือระดับปรมาจารย์ รวมถึงวงเครื่องสาย Stradivarius ที่ครบชุดเพียงแห่งเดียวในโลก พระราชวังแห่งนี้ยังโดดเด่นด้วยการสะสมชุดเกราะใน Real Armería หรือ Royal Armoury ซึ่งมีอายุย้อนกลับไปถึงศตวรรษที่ 16

1f6adef336cd4d33eb811d98acf5c642
ภาพมุมสูง Royal Palace of Madrid จาก puzzles-games.eu

 

800px Madrid Royal Palace of Madrid 20171027162438
บริเวณด้านหน้าของ Royal Palace of Madrid ภาพโดย Oliver Gargan

สถานที่ฝั่งตรงข้ามใกล้ๆกับพระราชวัง คือ Cetedral de la Almudena เป็น 2 สถานที่ที่อยู่ใกล้ๆกัน ถ้าใครมาพระราชวังหลวงของสเปน ก็อย่าลืมมา Almudena

Catedral de Almudena เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในกรุงมาดริด ตั้งอยู่ติดกับ Palacio Real ของกรุงมาดริด ซึ่งเป็นพระราชวัง แม้ว่าแผนการสร้างโบสถ์อันยิ่งใหญ่แห่งนี้จะมีการหารือกันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 แต่การก่อสร้างโบสถ์ในอาณานิคมของสเปนมีความสำคัญเป็นอันดับแรก และมาดริดยังคงไม่มีมหาวิหารมาหลายปี

สิ่งที่น่าสนใจคือ ครั้งหนึ่งอาสนวิหารแห่งนี้เคยคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของย่านชาวยิว ซึ่งต่อมาเป็นที่ตั้งของมัสยิดในสมัยอาหรับที่ปกครองสเปน มัสยิดแห่งนี้ถูกทำลายในปี 1083 เมื่อพระเจ้าอัลฟองโซที่ 6 พิชิตกรุงมาดริดอีกครั้ง

จนกระทั่งเมื่อปี 1879 เมืองหลวงของสเปนจึงเริ่มวางแผนก่อสร้างมหาวิหาร ในที่สุด ศิลาก้อนแรกถูกวางในปี 1883 และการก่อสร้างดำเนินไปจริงๆ ในปี 1885 ความคืบหน้าในช่วงแรกเป็นไปอย่างช้าๆ เนื่องจากเงินทุนไม่เพียงพอและการเสียชีวิตของสถาปนิกคนเดิม โบสถ์แห่งนี้เป็นโบสถ์แห่งแรกๆ ในสเปนที่มีห้องใต้ดินแบบโรมาเนสก์ขนาดใหญ่(Romanesque crypt) ซึ่งเปิดในปี 1911 แต่ในช่วงสงครามกลางเมืองสเปน การก่อสร้างก็หยุดลงโดยสิ้นเชิง และเริ่มต้นใหม่ในปี 1950 เท่านั้น (พร้อมกับสถาปนิกคนใหม่อีกครั้ง) . ในที่สุดบริเวณกุฏิก็เสร็จสมบูรณ์ในปี 1955 และส่วนหน้าอาคารในปี 1960 แต่โครงการนี้ไม่ถือว่าเสร็จสิ้นจนกระทั่งปี 1993 เมื่อในที่สุดอาสนวิหารก็ได้รับการถวายโดยสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 (Pope John Paul II) ภายในอาสนวิหารถือเป็นสไตล์นีโอโกธิค(Neo-Gothic) และมีห้องสวดมนต์หลายแห่งและพิพิธภัณฑ์

Catedral de Almudena มีการวางแนวเหนือ-ใต้ ซึ่งน่าทึ่งมาก เมื่อพิจารณาว่าคริสตจักรคริสเตียนส่วนใหญ่มีการวางแนวตะวันออก-ตะวันตก อาสนวิหารแห่งนี้สร้างขึ้นในลักษณะผสมผสานกับพระบรมมหาราชวังซึ่งมีแนวเดียวกันได้อย่างลงตัว 

แม้ว่าการเข้าชมมหาวิหารจะไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ก็แนะนำให้บริจาคเงิน พิพิธภัณฑ์มีค่าใช้จ่ายหกยูโรในการเข้า เปิดให้บริการเวลา 10.00 น. – 14.30 น. วันจันทร์-วันเสาร์ และนักท่องเที่ยวไม่สามารถเยี่ยมชมโบสถ์ได้ในระหว่างประกอบพิธีทางศาสนาหรือประกอบพิธีในโบสถ์

1024px Almudena 2022 overview
บริเวณ Catedral de la Almudena ภาพโดย Fernando – Trabajo propio

พอเราเดินเข้ามาด้านข้างของพระราชวังเราจะเจออนุสาวรีย์พระเจ้าเฟลิเปที่ 4 หนึ่งในกษัตริย์ของสเปน บริเวณนี้เป็นสวน เราสามารถมาเดินเล่น ถ่ายรูป ชื่นชมความงามความเงียบสงบได้

800px Monumento a Felipe IV %28Madrid%29 13
ภาพอนุสาวรีย์พระเจ้าเฟลิเปที่ 4 Monumento a Felipe IV ภาพโดย Juanedc from Argentina

อนุสาวรีย์พระเจ้าฟิลิปที่ 4 หรือน้ำพุแห่งพระเจ้าฟิลิปที่ 4 สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งสเปน ใจกลางจัตุรัสปลาซาเดโอเรียนเต ในกรุงมาดริด ประเทศสเปน(the centre of Plaza de Oriente in Madrid) ได้รับการยกขึ้นตามการยืนกรานของพระเจ้าอิซาเบลลาที่ 2(Isabella II) แห่งสเปน ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19 โดยเปิดเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 1843 หนึ่งปีก่อนที่ Narciso Pascual y Colomer จะสร้างแผนผังสุดท้ายของจัตุรัส

อย่างไรก็ตาม รูปปั้นกษัตริย์ทรงขี่ม้าสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 และออกแบบโดย ปิเอโตร ทักกา(Pietro Tacca) ประติมากรชาวอิตาลี เริ่มต้นในปี 1634 และส่งไปยังกรุงมาดริดในปี 1640 ซึ่งเป็นปีที่เขาเสียชีวิต ประติมากรรมบนยอดน้ำพุที่ซับซ้อน ก่อให้เกิดศูนย์กลางของส่วนหน้าของพระราชวัง รูปปั้นนี้มีพื้นฐานมาจากภาพวาดของ Diego Velázquez และรูปปั้นครึ่งตัวของ Juan Martínez Montañés (ผู้ร่วมงานด้วย) ความมั่นคงอันกล้าหาญของรูปปั้นคำนวณโดยกาลิเลโอ กาลิเลอี(Galileo Galilei) ม้าที่อยู่ด้านหลัง และน้ำหนักทั้งหมดของประติมากรรมจะสมดุลบนขาหลังทั้งสองข้าง—และหางของรูปปั้นอย่างระมัดระวัง—ซึ่งเป็นความสำเร็จที่ไม่เคยมีใครพยายามสร้างรูปปั้นบนวีรบุรุษ ขนาดที่เลโอนาร์โด(Leonardo) เคยฝันไว้

เมืองต่อไปที่เราจะไปคือ เมืองเซบียา(Seville) อยู่ตอนใต้ของประเทศสเปน นั่งรถไฟจากกรุง Madrid ประมาณ 2 -3 ชั่วโมง สมัยก่อนเมือง Seville เป็นเมืองที่เรียกว่ารํ่ารวยมากๆ เนื่องจากว่า เมืองนี้เป็นเมืองท่า ได้สิทธิพิเศษจากกษัตริย์ของสเปนให้สินค้าทุกอย่างที่มาจากทั่วโลกที่จะเข้าสเปนต้องผ่านเมือง Seville ก่อน ก็เป็นเมืองท่าโดยปริยาย ก่อนที่จะถ่ายสินค้าไปยังเมืองต่างๆ ทำให้บ้านเมืองต่างๆในที่นี่ ส่วนใหญ่จะหรูหราใหญ่โต แต่ปัจจุบันบ้านที่ใหญ่โตมากๆอาจจะถูกปรับเปลี่ยนเป็นห้างสรรพสินค้า โรงแรม และสถานที่ท่องเที่ยว

340021069ffe66c4c31180bae403b3de
ภาพแผนที่ตำแหน่งเมือง Seville ภาพโดย travelfeatured

สะพานอิซาเบลล่าที่ 2 Puente de Isabel II (Puente de Triana) ที่เชิ่อมระหว่างเมืองเก่า ที่เมือง Seville มีอยู่ 2 อย่างที่โดดเด่นมากๆ อย่างแรกคือ Bullfighting การสู้วัวกระทิง อย่างที่สอง คือการเต้น Flamenco ฟลามิงโก สองอย่างนี้ได้สัมผัสแน่นอนที่เมือง Seville

Puente de Isabel II, Puente de Triana หรือสะพาน Triana เป็นสะพานโค้งโลหะในเมืองเซบียา ประเทศสเปน ที่เชื่อมต่อย่าน Triana กับใจกลางเมือง โดยตัดผ่านคลอง Canal de Alfonso XIII ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำ Guadalquivir ที่แยก Triana ออกจากกันจนเกือบเป็นเกาะ

สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าอิซาเบลลาที่ 2 แห่งสเปน และแล้วเสร็จในปี 1852 โดยถือเป็นสะพานแห่งแรกในเซบียา แทนที่สะพานลอยน้ำที่ก่อนหน้านี้ประกอบด้วยเรือ (สะพานโป๊ะ) สะพานโป๊ะแห่งนี้สร้างขึ้นครั้งแรกโดยชาวมัวร์ในศตวรรษที่ 12 และอยู่ได้ 7ศตวรรษ เนื่องจากมีการซ่อมแซมในภายหลัง

1280px Pont Triana
สะพาน Puente de Isabel II ยามพระอาทิตย์กำลังตกดิน ภาพโดย Gregory Zeier – Own work

Plaza de Toros (พิพิธภัณฑ์ Bullfighting) แสดงเกี่ยวกับ รูปภาพต่างๆของนักสู้วัวกระทิงสมัยก่อน รูปพันธุ์วัวต่างๆ ก็เป็นการบันทึกเรื่องราวภาพวาด และชุดนักสู้วัวกระทิงที่ใช้ทองคำและเงินแท้ๆมีราคาเป็นแสน ภายในยังมีสนามสำหรับแข่ง Bullfighting ก่อนเข้าสนามจะมีเหมือนห้องพระ เพื่อให้มาธาดอร์หรือผู้ที่ทำหน้าที่ล่อวัวกระทิงสวดมนต์ก่อน และสนามแห่งนี้เป็นสนามที่เก่าแก่ของ Seville เลย จุคนได้ 12,000 คน และนอกเหนือจากนี้ในเมือง Seville ยังมีอีก 70 สนามที่มีการเปิดโชว์เป็นกิจกรรมที่จำลองเหตุการณ์ขึ้นมา เป็นโชว์ที่ให้นักท่องเที่ยวได้เห็นว่าในสมัยก่อนเขาล่อวัวกระทิงกันยังไง 

ในสมัยก่อนกิจกรรม Bullfighting เป็นกิจกรรมของคนชั้นสูง มีอยู่ยุคหนึ่งกษัตริย์ได้ยกเลิกไม่ให้มีการต่อสู้ขึ้นมา แล้วคนชนชั้นธรรมดาก็นำไปสืบประเพณีนี้ต่อไปจนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งปัจจุบันนี้ความรู้สึกส่วนตัวคิดว่ามันไม่ค่อยแฟร์เท่าไรกับวัวกระทิง เพราะคนใช้ดาบในการต่อสู้ แต่ว่าวัวกระทิงเขาไม่รู้อะไรต้องมาสู้กับคนถือดาบ ซึ่งเสียเปรียบ ในปัจจุบันการล่อวัวกระทิงจึงกลายเป็นโชว์มากกว่า เป็นการสืบสานประเพณีของสมัยก่อนแต่ว่าไม่ทำร้ายวัวกระทิงแบบสมัยก่อน แต่ก็ยังมีบ้างที่เขาสู้กันจริงๆอยู่

800px Sevilla 3 8 %2848040412768%29
ด้านหน้าทางเข้า Plaza de Toros ภาพโดย Ajay Suresh from New York NY USA

Plaza de Toros de la Real Maestranza de Caballería de Sevilla เป็นสนามสู้วัวกระทิงที่จุคนได้ 12,000 คนในเมืองเซบียา ประเทศสเปน ในช่วงงาน Seville Fair ประจำปีในเมืองเซบียา ที่นี่เป็นสถานที่จัดเทศกาลสู้วัวกระทิงที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เป็นส่วนหนึ่งของ Real Maestranza de Caballería de Sevilla ซึ่งเป็นกิลด์ขุนนางที่จัดตั้งขึ้นเพื่อฝึกทหารม้าแบบดั้งเดิม

วงแหวนแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สนุกสนานที่สุดของเมือง และเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดอย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นเวทีสู้วัวกระทิง สถานที่แห่งนี้จึงถือเป็นสภาพแวดล้อมที่ท้าทายที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เนื่องจากมีประวัติ ลักษณะเฉพาะ และการชมจากสาธารณชน ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ไม่อาจให้อภัยได้มากที่สุดในบรรดาแฟนพันธุ์แท้ของการสู้วัวกระทิง

การก่อสร้างวงแหวนทรงกลมบนเนินเขา Baratillo เริ่มขึ้นในปี 1749 เพื่อทดแทนสนามสู้วัวกระทิงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เคยตั้งอยู่ที่นั่น

Plaza de Toros de la Real Maestranza Sevilla
ภาพภายในสนามสู้วัวกระทิง Plaza de Toros de la Real Maestranza ภาพโดยHarlock20

ในปี ค.ศ. 1761 การก่อสร้างเริ่มรวมโอคาวา(ochavas) (แต่ละโอคาวาจะเท่ากับซุ้มสี่โค้ง) ในช่วงแรกนี้ ผู้ดูแลการก่อสร้างคือ Francisco Sánchez de Aragón และ Pedro y Vicente de San Martín ด้านหน้าอาคารด้านในของพลาซ่า (เรียกว่า Palco del Príncipe หรือ Prince’s Box) สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1765 ‘กล่อง’ นี้ประกอบด้วยสองส่วน: ประตูทางเข้าที่นักสู้วัวกระทิงที่ประสบความสำเร็จจะออกมา และกล่องโรงละครซึ่งสงวนไว้สำหรับ การใช้แต่เพียงพระราชวงศ์สเปน ส่วนบนสุดประกอบด้วยซุ้มโค้งสี่ซุ้มซึ่งสร้างห้องนิรภัยสีส้มครึ่งหนึ่ง ซึ่งส่วนบนสุดปูด้วยกระเบื้องสีขาวและสีน้ำเงิน กลุ่มประติมากรรมที่สรุปองค์ประกอบนี้เป็นผลงานของประติมากรชาวโปรตุเกส Cayetano de Acosta Palco ถูกสร้างขึ้นสำหรับ Infante de España, Felipe de Borbón บุตรชายของ Felipe V และ Isabel de Farnesio

เมื่อพระเจ้าคาร์ลอสที่ 3(Carlos III) ห้ามไม่ให้มีการเฉลิมฉลองการสู้วัวกระทิงในปี 1786 งานประติมากรรมเหล่านี้ก็หยุดชะงักลง แม้ว่าจะมีเพียงหนึ่งในสามของจัตุรัสที่สร้างเสร็จในเวลานั้นก็ตาม Palco de la Diputación เก่า (เดิมเรียกว่า Palco de Ganaderos หรือ Herdsmen’s Box) ก็มาจากช่วงเวลานี้เช่นกัน และตั้งอยู่เหนือประตู toriles และด้านหน้า Palco del Príncipe

หลังจากผ่านไป 34 ปี ฝาครอบสลิปการยิงครึ่งหนึ่งของวงแหวนก็เสร็จสิ้น ทางด้านซ้ายและขวาของ Palco del Príncip มองเห็นได้ง่ายจากมหาวิหารและหอระฆัง Giralda ซึ่งสะท้อนให้เห็นในแสตมป์จำนวนมากในสมัยนั้น ในปี 1868 Palco de la Diputación อยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมจนประติมากรชาวอิตาลี Augusto Franchy ได้ดำเนินการปรับปรุงด้วยตัวเอง โดยสร้างพื้นที่ใหม่ด้วยราวบันไดหินอ่อนและยอดของ Real Maestranza de Caballería นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มระเบียงทั้ง 5 แห่งในแต่ละด้านของ Palco de la Diputación ซึ่งเป็นที่ตั้งของนาฬิกาวงแหวนในปัจจุบัน การก่อสร้างวงแหวนแล้วเสร็จในปี 1881 สองในสามสร้างด้วยหิน ส่วนที่เหลือสร้างด้วยไม้

ระหว่างปี 1914 ถึง 1915 อัฒจันทร์หินได้รับการบูรณะใหม่ด้วยอิฐภายใต้การดูแลของ Aníbal González สถาปนิกชาวเซวิลเลียน แถวทั้งหมดถูกสร้างขึ้นใหม่ให้มีความลาดเอียงมากขึ้น มีการสร้างที่นั่งในร่มไว้สิบถึงสิบสองแถว เช่นเดียวกับแถวอาบแดดสิบสี่แถว และแผงกั้นสามแถว เก้าอี้นวมแถวหนึ่งถูกสร้างขึ้นในส่วนที่เหนือกว่าของพื้นที่สีเทา หน้าโรงหนัง

Metropol Parasol (Setas de Sevilla) งานสถาปัตยกรรมจากไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างเมื่อปี 2005 ใช้เวลาสร้าง 6 ปี สมัยก่อนพื้นที่บริเวณนี้เป็นเพียงแค่จุตรัสกว้างๆแล้วก็เป็นตลาด แต่ว่าขุดพบซากวัตถุโบราณ ทางการเห็นว่าบริเวณนี้น่าจะมีอีก ก็เลยสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์ขึ้นมา ก่อนจะสร้าง Museum เขาก็จัดงานประกวดว่าอยากจะสร้าง Museum เป็นรูปทรงอะไร แล้วก็ผู้ชนะเป็นสถาปนิกชาวเยอรมนี ชื่อ เยือร์เกิน ไมเออร์(Jürgen Mayer) เขาอยากออกแบบเป็บแบบ รังผึ้ง เขาได้แรงบันดาลใจมาจากภายในมหาวิหารแห่งเมือง Seville แต่ว่าพอสร้างเสร็จชาวสเปนมองว่าเหมือนเห็ดยักษ์มากกว่า ก็เลยให้ฉายาที่นี่ว่า Museumเห็ด แล้วแต่คนมองงานศิลปะไม่มีผิดไม่มีถูกอยู่แล้ว

ด้านบนสวยมากสามารถมองวิวเมือง Seville ได้ทั้งเมือง ซึ่งหลังจากชมวิวจากด้านบนสุดแล้ว ได้รับมุมมองใหม่ๆของ เมือง Seville ว่าเมืองแห่งนี้เป็นการผสมผสานระหว่างเมืองเก่ากับเมืองใหม่อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น โบสถ์เก่า วังเก่า ฯลฯ แต่ก็มีการผสมผสานงานศิลปะใหม่ๆ เช่น สะพาน สิ่งปลูกสร้างสมัยใหม่ ซึ่งดูรวมๆก็สามารถผสานกันอย่างมีเสน่ห์ได้อย่างลงตัว

800px Espacio Parasol Sevilla
Metropol Parasol เป็นอาคารไม้ในย่านเมืองเก่าของเซบียา ประเทศสเปน ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชาวเยอรมัน Jürgen Mayer-Hermann และการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2011 ภาพโดย Rubendene

Setas de Sevilla (“Mushrooms of Seville”) หรือ Las Setas (“The Mushrooms”) เดิมชื่อ Metropol Parasol เป็นโครงสร้างไม้ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ที่จัตุรัส La Encarnación ในย่านเมืองเก่าของเซบียา ประเทศสเปน สามารถรองรับตลาดแบบดั้งเดิม ร้านอาหาร จัตุรัสการแสดง พิพิธภัณฑ์โบราณคดี และระเบียง ‘บนชั้นดาดฟ้า’ ที่มองเห็นทิวทัศน์มุมกว้างของเมืองเก่าของเซบียา

โครงสร้างนี้ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชาวเยอรมัน เจอร์เกน เมเยอร์(Jürgen Mayer) ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากผลงานที่ส่งเข้าประกวด 65 ชิ้น ซึ่งสร้างเสร็จในเดือนเมษายน 2011 และมีขนาดประมาณ 150 x 70 เมตร (490 x 230 ฟุต) และมีความสูงประมาณ 26 เมตร (85 ฟุต)

สถานที่นี้สร้างขึ้นจากไม้สนฟินแลนด์เคลือบไมโครขนาด 3,500 ลูกบาศก์เมตร และจำหน่ายเป็นโครงสร้างไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในช่วงแรกด้วยปัญหาด้านเทคนิค ตลอดจนงบประมาณและกำหนดเวลาที่มากเกินไป

นับตั้งแต่เปิดดำเนินการ ที่แห่งก็กลายเป็นสถานที่สำคัญในเมืองที่มีผู้เข้าชมมากเป็นอันดับสามของเซบียา

800px Metropolparasolnov2011001
Metropol Parasol Sevilla ยามคํ่าคืน ภาพโดย Anual

มาชมสถานที่อีกที่หนึ่งในเซบียา ที่นี่เรียกว่าอลังการงานสร้าง ทั้งใหญ่โตและสวยงาม ที่นี่คือ Plaza de Espana ซึ่งอยู่ในสวน Parque de Maria Luisa ถ้าใครมาเที่ยวเซบียา ห้ามพลาด ที่นี่คือสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเซบียา และเป็นจตุรัสประจำเมืองของเซบียา ซึ่งอาคารตึกใหญ่โตเหล่านี้เขายังใช้งานอยู่ซึ่งใช้เป็นสถานที่สำนักงานของราชการ

ความอลังการต้องยกเครดิตให้ผลงานของสถาปนิก “อานิบัล กอนซาเลซ” ปี 1914 สร้างได้อย่างอลังการและยิ่งใหญ่มาก

ลาน Plaza de Espana ไปปรากฎอยู่ในภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น Lawrence of Arabla หรือ Star wars : Attack of the Clones

ในสวน Parque de Maria Luisa นอกจาก Plaza de Espana แล้ว ก็ยังมีการแบ่งพื้นที่เป็นหลายส่วน เรียกว่ามีพื้นที่ใหญ่มากๆ แล้วมีก็มีพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งชาติของสเปนด้วย

Plaza de España (“จัตุรัสสเปน” ในภาษาอังกฤษ) เป็นจัตุรัสใน Parque de María Luisa (สวนสาธารณะ Maria Luisa) ในเมืองเซบียา ประเทศสเปน สร้างขึ้นในปี 1928 สำหรับงานนิทรรศการ Ibero-American Exposition ปี 1929 ที่นี่เป็นตัวอย่างที่สำคัญของสถาปัตยกรรมภูมิภาคนิยม โดยผสมผสานองค์ประกอบของสถาปัตยกรรมสเปนสไตล์ฟื้นฟูบาโรก การฟื้นฟูเรอเนซองส์ และการฟื้นฟูมัวร์ (นีโอ-มูเดฆาร์)

ในปี 1929 เซบียาเป็นเจ้าภาพจัดงาน Ibero-American Exposition World’s Fair ซึ่งตั้งอยู่ในสวนสาธารณะ Maria Luisa (Parque de María Luisa) อันโด่งดัง สวนในสวนสาธารณะได้รับการออกแบบโดย Jean-Claude Nicolas Forestier ทางตอนใต้สุดของเมืองทั้งหมดได้รับการพัฒนาใหม่ให้กลายเป็นสวนที่กว้างขวางและถนนสายใหญ่

ศูนย์กลางของมันคือ Parque de María Luisa ซึ่งออกแบบใน Moorish paradisical style โดยมีน้ำพุปูกระเบื้อง ศาลา กำแพง สระน้ำ ม้านั่ง และ exhedras ยาวครึ่งไมล์ ต้นปาล์ม ต้นส้ม ต้นสนเมดิเตอร์เรเนียน และแปลงดอกไม้อันสวยงาม อาคารจำนวนมากถูกสร้างขึ้นในสวนสาธารณะเพื่อเป็นพื้นที่สำหรับจัดนิทรรศการ

Plaza de España ซึ่งออกแบบโดย Aníbal González เป็นอาคารหลักที่สร้างขึ้นบริเวณชายขอบของสวนสาธารณะ Maria Luisa เพื่อจัดแสดงนิทรรศการอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของสเปน กอนซาเลซผสมผสานสไตล์อาร์ตเดโคในช่วงปี 1920 กับการฟื้นฟูเรอเนซองส์ของสเปน การฟื้นฟูบาโรกของสเปน และสไตล์นีโอ-มูเดคาร์ อาคาร Plaza de España มีลักษณะครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ อาคารเหล่านี้สามารถเข้าถึงได้โดยสะพานสี่แห่งเหนือคูน้ำซึ่งเป็นตัวแทนของอาณาจักรโบราณของสเปน ตรงกลางมีน้ำพุ Vicente Traver Is im Sevilla (ciudad del BETIS)

ซุ้มกระเบื้องหลายแห่งถูกสร้างขึ้นรอบๆ Plaza โดยแต่ละซุ้มเป็นตัวแทนของจังหวัดต่างๆ ของสเปน ซุ้มกระเบื้องในจังหวัดต่างๆ ของ Plaza มักเป็นฉากหลังสำหรับภาพถ่ายบุคคลของผู้มาเยือน ซึ่งถ่ายในจังหวัดบ้านเกิดของตนเอง แต่ละซุ้มขนาบข้างด้วยชั้นหนังสือที่มีหลังคาคลุมคู่หนึ่ง ซึ่งปัจจุบันผู้มาเยือนใช้ในลักษณะของ “Little Free Library” ชั้นหนังสือแต่ละชั้นมักมีผลงานพร้อมข้อมูลเกี่ยวกับจังหวัดของตน นักท่องเที่ยวยังได้บริจาคนวนิยายและหนังสือเล่มโปรดให้ผู้อื่นได้อ่านอีกด้วย

ปัจจุบันอาคารของ Plaza de España ได้รับการปรับปรุงและดัดแปลงเพื่อใช้เป็นสำนักงานสำหรับหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานรัฐบาลกลางซึ่งมีการออกแบบการปรับเปลี่ยนที่ละเอียดอ่อนใหม่ตั้งอยู่ภายใน ในตอนท้ายของสวนสาธารณะ คฤหาสน์หลังใหญ่ที่สุดจากงานได้รับการดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์ที่อยู่ห่างไกลที่สุดมีคอลเล็กชันทางโบราณคดีของเมือง นิทรรศการหลัก ได้แก่ โมเสกโรมันและสิ่งประดิษฐ์จากอิตาลิกาในบริเวณใกล้เคียง

Plaza de España ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำ รวมถึงฉากของ Lawrence of Arabia (1962) อาคารหลังนี้ใช้เป็นสถานที่ในภาพยนตร์ซีรีส์สตาร์ วอร์สเรื่อง Star Wars: Episode II – Attack of the Clones (2002) ซึ่งอาคารดังกล่าวปรากฏในภาพภายนอกของเมืองธีดบนดาวเคราะห์นาบู นอกจากนี้ยังแสดงในภาพยนตร์เรื่อง The Dictator ปี 2012 ด้วย Kaos ซีรีส์ทาง Netflix ปี 2023 จะมีฉากที่ถ่ายทำที่ Plaza ด้วย 

Plaza แห่งนี้ถูกใช้เป็นฉากสำหรับวิดีโอเพลง “Something Got Me Started” ของ Simply Red

800px Plaza de Espa%C3%B1a %28Sevilla%29 01
วิวของ Plaza de España ภาพโดย Carlos Delgado

 

800px 9. Mai 1929%2C an diesem Tag wurde die Iberoamerikanische Ausstellung in Sevilla er%C3%B6ffnet. 19
พฤษภาคม 1929 ในวันนิทรรศการ Ibero-American เปิดขึ้นในเมืองเซบียา ภาพโดย Holger Uwe Schmitt

 

800px 9. Mai 1929%2C an diesem Tag wurde die Iberoamerikanische Ausstellung in Sevilla er%C3%B6ffnet. 02
ภาพมุมเดิน Plaza of Spain Seville. ภาพโดย Holger Uwe Schmitt

เราจะเดินชมรอบๆเมืองเซบียากันต่อที่ Catedral de Sevilla(มหาวิหารแห่งเมืองเซบีย่า) ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน สมัยก่อน แขกมัวร์ เคยปกครองเซบีย่าอยู่ ก็เลยเป็นมัสยิดมาก่อน พอภายหลังที่สเปนเกิดเป็นประเทศขึ้นมา ได้เปลี่ยนให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติของสเปน มัสยิดแห่งนี้ก็เลยถูกเปลี่ยนมาเป็น Catedral de Sevilla(มหาวิหารแห่งเมืองเซบีย่า) ก็เลยกลายเป็นการผสมผสานระหว่าง ความเป็นศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์ Catedral de Sevilla(มหาวิหารแห่งเมืองเซบีย่า) แห่งนี้ถือว่าสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก แต่ถ้านับยิบย่อยลงไปแบบสถาปัตยกรรม แบบนี้เรียกว่า Catedral แบบก่อทิพย์ เรียกได้ว่าสูงที่สุดในโลกเลยทีเดียว 

Catedral de Sevilla อาสนวิหารในเมืองเซบียา ประเทศสเปน ซึ่งนอกจากจะเป็นโบสถ์ที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกแล้ว ยังเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของสถาปัตยกรรมกอทิกและเรอเนซองส์(Gothic and Renaissance) และแสดงถึงประวัติศาสตร์ประมาณเจ็ดศตวรรษ

เดิมทีสถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของมัสยิดขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 เมื่อจักรวรรดิอัลโมฮัด(the Almohad) ปกครองไม่เพียงแต่เซบีญาเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของสเปนด้วย อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ชาวคริสต์ชาวสเปนภายใต้การนำของพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 3(Ferdinand III) ได้ครอบครองเซบียาในปี 1248 มัสยิดก็ถูกใช้เป็นอาสนวิหาร และภายในก็ค่อยๆ เปลี่ยนเพื่อให้เหมาะกับบทบาทใหม่ เมื่อเซบียามีความสำคัญมากขึ้น ชาวสเปนจึงตัดสินใจว่าพวกเขาต้องการสร้างโบสถ์ขนาดใหญ่ที่เหมาะสมเพื่อสะท้อนถึงจุดยืนของเมืองในฐานะศูนย์กลางการค้าที่ร่ำรวย

การก่อสร้างเริ่มขึ้นในปี 1403 บนฐานสี่เหลี่ยมของมัสยิด และโครงสร้างใช้เวลามากกว่าหนึ่งศตวรรษจึงแล้วเสร็จในปี 1506 สิ่งที่เหลืออยู่ของมัสยิดเดิมคือลานทางเข้า Patio de los Naranjos (ลานต้นส้ม) ซึ่ง ผู้ศรัทธาชาวมุสลิมเคยล้างมือและเท้าในน้ำพุก่อนเข้ามัสยิด และสุเหร่าที่สร้างขึ้นระหว่างปี 1184 ถึง 1196 ในปี 1198 มีการเพิ่มทรงกลมทองแดงสี่ลูกไว้บนหอคอย แต่ถูกทำลายด้วยแผ่นดินไหวในปี 1356 เมื่ออาสนวิหารถูกสร้างขึ้น ระฆังได้ถูกเพิ่มเข้าไปในสุเหร่าที่เคยครั้งหนึ่งพร้อมกับสัญลักษณ์ไม้กางเขนของชาวคริสต์ ทำให้กลายเป็นหอระฆังที่เรียกว่าหอระฆังฆิรัลดา(Giralda)

หอระฆังสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1568 โดยต่อเติมใบพัดสภาพอากาศสูง 11 ฟุต (3.5 ม.)  ซึ่งเป็นตัวแทนของความเชื่อในศาสนาคริสต์ ซึ่งหล่อโดยบาร์โตโลเม โมเรล(Bartolomé Morel) ภายในอาสนวิหารแห่งนี้น่าประทับใจทั้งในด้านงานศิลปะในรูปแบบของภาพวาด ประติมากรรม และการแกะสลักไม้ และด้วยสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างสไตล์โกธิก เรอเนซองส์ บาโรก และเพลเตเรสก์(Gothic, Renaissance, Baroque, and Plateresque styles) นอกจากนี้ อาสนวิหารแห่งนี้ยังมีหลุมฝังศพของนักสำรวจคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส(Christopher Columbus) สมัยศตวรรษที่ 19

800px Sevilla Cathedral Southeast
Catedral de Sevilla อาสนวิหารเซบีญ่า ผนังด้านตะวันออกเฉียงใต้ ภาพโดย Ingo Mehling
401px B%C3%B3veda crucero 001
ภายในอาสนวิหารทิวทัศน์ของห้องเป็นปีกนกของอาสนวิหารเซบียา ภาพโดย Anual

ไปต่อกันที่ สวนภายในของพระราชวัง Real Alcazar de Sevilla ชื่อเต็ม Royal Alcazar of Seville (Real Alcazar de Sevilla) เป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของพระราชวัง เมื่อเดินดูจะเห็นสระนํ้าที่มีรูปหล่อรูปปั้น เทพเมอร์คิวรี ที่สระนํ้านี้จึงมีชื่อว่า  สระเมอร์คิวรี พระราชวังแห่งมีความสวยงามซึ่งได้รับอิทธิพลมาจาก แขกมัวร์ เต็มๆ 

อัลกาซาร์แห่งเซบียา มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Royal Alcázar of Seville (Real Alcázar de Sevilla หรือ Reales Alcázares de Sevilla)  เป็นพระราชวังเก่าแก่ในเมืองเซบียา ประเทศสเปน เดิมเคยเป็นที่ตั้งของป้อมปราการของเมืองในยุคอิสลาม ซึ่งเริ่มในศตวรรษที่ 10 จากนั้นจึงพัฒนาเป็นพระราชวังขนาดใหญ่ขึ้นโดยราชวงศ์อับบาดิด(the Abbadid dynasty) (ศตวรรษที่ 11) และราชวงศ์อัลโมฮัด(the Almohads) (ศตวรรษที่ 12 ถึงต้นศตวรรษที่ 13) หลังจากการยึดครองเมืองของชาว Castilian ในปี 1248 สถานที่นี้ได้รับการสร้างขึ้นใหม่เรื่อยๆ และถูกแทนที่ด้วยพระราชวังและสวนใหม่ๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือพระราชวังสไตล์มูเดคาร์(Mudéjar style) ที่ตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม ซึ่งสร้างโดยพระเจ้าเปดรูที่ 1 (Pedro I) ในช่วงทศวรรษที่ 1360s

พระราชวังแห่งนี้เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของสไตล์มูเดคาร์ (Mudéjar style) ในคาบสมุทรไอบีเรีย และยังรวมถึงส่วนต่างๆ ที่มีองค์ประกอบแบบโกธิกและเรอเนซองส์ (Gothic and Renaissance) ด้วย ชั้นบนของ Alcázar ยังคงถูกครอบครองโดยราชวงศ์เมื่อพวกเขามาเยือนเซบียาและบริหารงานโดย Patrimonio Nacional ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 1987 หรือ พ.ศ. 2530 ร่วมกับอาสนวิหารเซบียาที่อยู่ติดกันและหอจดหมายเหตุทั่วไปแห่งอินเดีย

b7
ภายใน Royal Alcázar of Seville (Real Alcázar de Sevilla) ภาพโดย viator

ออกเดินทางออกจากเมืองเซบีย่า แล้วมุ่งหน้าไปสู่เมืองท่าของสเปนทางตอนใต้อย่างเมือง มาลากา(Malaga, Spain) อีกแห่งเมืองชื่อดังแห่งแคว้นอันดาลูเซีย บ้านเกิดของจิตรกรดังอย่าง ปาโบล รุยซ์ ปิกัสโซ (สเปน: Pablo Ruiz Picasso) เมืองมาลากา ถึงแม้ว่าจะเป็นเมืองรอง แต่ก็มีนักท่องเที่ยวมาเยอะขึ้นเรื่อยๆ เพราะที่นี้มีจุดที่น่าสนใจเยอะแยะมากๆ โดยเฉพาะ ป้อมปราการและปราสาทอัลคาซาบา (La Alcazaba) และที่นี้มีอายุกว่า 1000 ปี ด้วยกัน และเป็นป้อมปราการที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศสเปน

800px Alcazaba de M%C3%A1laga desde el puerto edited
Alcazaba แห่งมาลากา ภาพโดยJosé Luis Parra Olmo

ระหว่างที่เดินดูรอบๆปราสาท เราจะเห็นต้นส้มที่เป็นพันธุ์ผสมกับเลมอน ปลูกอยู่ 2 ข้างทาง เมื่อสมัยก่อน กษัตริย์จะเอาดอกของต้นส้มที่หอมมาก เอาไปทำนํ้าหอม รวมถึงชาวอังกฤษที่เข้ามาอาศัยอยู่ภายหลัง ก็จะเอาส้มพันธุ์นี้ ไปทำเป็น แยมมาร์มาเลด เพราะว่ามันจะให้รสขมมากกว่าส้มปกติทั่วไป 

เส้นทางภายในปราสาทค่อนข้างซับซ้อน ซึ่งเป็นกลอุบายของผู้สร้าง เพื่อไม่ให้ผู้คนทั่วไปเข้าถึงผู้ปกครองของเมืองในสมัยก่อนได้อย่างง่ายดาย ก็เลยต้องมีทางหลอกซิกแซก เพื่อให้คนเข้าถึงจุดศูนย์กลางของรัฐบาลที่ปกครองอยู่ได้ยากที่สุด 

800px Castillo de M%C3%A1laga
มุมมองภายนอกไปยังทางเข้าป้อมปราการของ Alcazaba ภาพโดย Jakubc
450px Alcazaba de M%C3%A1laga 018
วิวทางเข้าและประตูด้านนอกของ Alcazaba ภาพโดย Américo Toledano
800px Alcazaba de M%C3%A1laga %289033341112%29
ทางเดินโค้งของ Puerta de la Bóveda ภาพโดย Emijrp
374px Spain Andalusia Malaga BW 2015 10 24 14 39 26
Puerta de las Columnas ภาพโดย Berthold Werner
450px Alkasar4
Puerta del Cristo ประตูสุดท้ายสู่ป้อมปราการชั้นนอก ภาพโดย Ko Oleg
450px Malaga Alcazaba DSCF1139
Puerta de los Cuartos de Granada ทางเข้าป้อมปราการชั้นใน ภาพโดย R Prazeres

ในบริเวณของปราสาท มีสวนแบบดั้งเดิมสมัยโบราณของชาวอาหรับตั้งแต่สร้างในสมัยแรก ประกอบไปด้วย 3 อย่าง 1.ดอกไม้ เพราะกษัตริยจะชอบกลิ่นหอมของดอกไม้ 2.นํ้า เป็นนํ้าที่อยู่ในร่องพื้น 3.เซรามิกหรือกระเบื้องที่ปูทาง 3อย่างนี้คือสัญลักษณ์ของการสร้างสวนของชาวอาหรับ

หลังจากที่เดินซิกแซกมาเรื่อยๆ ก็ใกล้ถึงจุดศูนย์กลางของป้อมปราการ ก่อนถึงเราจุดศูนย์กลางเราจะเห็นประตูทางเข้าที่สูงมาก ป้อมปราการแห่งนี้มีการป้องกันที่สูงที่สุดและดีที่สุดในโลกตั้งแต่สมัยก่อน เพราะว่า หนึ่งคือทางซิกแซกที่กว่าจะเดินถึงจุดศูนย์กลางได้ใช้เวลานานมากๆ และแต่ล่ะประตูก็จะมีทหารซ่อนอยู่ด้านหลัง 

713px Alcazaba de M%C3%A1laga Torre del Homenaje 001
หอคอยแห่งโฮมเนจ The Torre del Homenaje ภาพโดย Américo Toledano

ปราสาทอัลคาซาบา (La Alcazaba) ตั้งอยู่บนเนินเขา Gibralfaro เคยเป็นพระราชวังของชาวมัวร์ในสมัยศตวรรษที่ 11 ที่สร้างซ้อนกับป้อมปราการเก่าแก่จากยุคโรมัน

มาลากา มีชัยภูมิที่ติดทะเลและทำเลตรงกับศาสตร์ตำราในการสู้รบ คือ การตั้งอยู่ในปากอ่าวเพื่อป้องกันข้าศึกได้ดีที่สุด และชนชาติแรกที่มาตั้งรกรากก็คือ ชาวฟินิเชีย และต่อมาชาวอาหรับก็เข้ามาครอบครอง แล้วก็สร้างป้อมปราการนี้ขึ้นมา

อัลคาซาบา(Alcazaba) เป็นป้อมปราการหรูหราในเมืองมาลากา ประเทศสเปน สร้างขึ้นในสมัยที่มุสลิมปกครอง อัล-อันดาลุส(Al-Andalus) อาคารปัจจุบันเริ่มในศตวรรษที่ 11 และได้รับการแก้ไขหรือสร้างขึ้นใหม่หลายครั้งจนถึงศตวรรษที่ 14 เป็นอัลคาซาบาส(alcazabas) ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดแห่งหนึ่งในสเปน นอกจากนี้ อัลคาซาบา(Alcazaba) ยังเชื่อมต่อกันด้วยทางเดินที่มีกำแพงล้อมรอบไปยังปราสาท Gibralfaro ที่สูงกว่า และติดกับทางเข้าของ Alcazaba ยังเป็นซากโรงละครโรมันที่มีอายุตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 1

บนเนินเขา กิบราลฟาโร(Gibralfaro) ที่ใช้สร้างอัลคาซาบา(Alcazaba) ก่อนหน้านี้ถูกครอบครองโดยชาวฟินีเซียน(Phoenicians) ตั้งแต่ประมาณ 600 ปีก่อนคริสตกาล และยังมีการค้นพบซากกำแพงป้อมปราการของชาวฟินีเซียนที่นั่นด้วย ในช่วงสมัยโรมันของเมือง (หลัง 205 ปีก่อนคริสตกาล) พื้นที่นี้ถูกครอบครองโดยคฤหาสน์โรมันและโรงงานอุตสาหกรรม โรงละครโรมันซึ่งขุดพบและมองเห็นได้ในปัจจุบัน ถูกสร้างขึ้นบนเนินเขาด้านตะวันตกในคริสต์ศตวรรษที่ 1 หลังจากการพิชิตคาบสมุทรไอบีเรีย(Iberian) ของชาวมุสลิมเมื่อต้นศตวรรษที่ 8 แหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์กล่าวถึงการมีอยู่ของป้อมปราการบนเนินเขา ซึ่งสร้างโดยอับด์ อัร-เราะห์มานที่ 1 (Abd ar-Rahman I) (ค.ศ. 756–788) และมีมัสยิดอยู่ภายในด้วย

450px Alcazaba of M%C3%A1laga%2C July 2017 40
The Patio de los Naranjos ภาพโดย Mohatatou
402px Spain Andalusia Malaga BW 2015 10 24 15 21 05 edited
The Patio de la Alberca ลานสระน้ำ ภาพโดย Berthold Werner

อัลคาซาบา(Alcazaba) ในปัจจุบันเริ่มต้นโดยราชวงศ์ Hammudid ในช่วงต้นศตวรรษที่ 11 ซึ่งอาจอยู่ภายใต้รัชสมัยของพระเจ้า Yahya ที่ 1 (ค.ศ. 1021–1036) ซึ่งในเวลานั้นสถาปัตยกรรมพระราชวังที่ได้รับการอนุรักษ์บางส่วนอาจมีอยู่ในปัจจุบัน  หลังจากการยึดมาลากาโดยชาวซิริดแห่งกรานาดา (the Zirids of Granada) ในปี ค.ศ. 1056 มีการเพิ่มเติมบางส่วนในรัชสมัยของบาดิส (สวรรคต ค.ศ. 1073) อาจเป็นป้อมปราการที่มีกำแพงสองชั้นหรือการสร้างใหม่ให้กว้างขึ้น ในช่วงต้นศตวรรษที่ 14 เมื่อมาลากาอยู่ภายใต้การควบคุมของเอมิเรตแห่งกรานาดา(the Emirate of Granada) อัลคาซาบา(Alcazaba) ส่วนใหญ่ได้รับการสร้างขึ้นใหม่โดยกษัตริย์นาสริด มูฮัมหมัดที่ 2 (the Nasrid emir Muhammad II) รวมถึงป้อมปราการและที่ประทับอันโอ่อ่าด้วย ปราสาทกิบราลฟาโร(Gibralfaro) บนเนินเขาสูงไปทางทิศตะวันออก สร้างขึ้นโดยกษัตริย์นาสริด ยูซุฟที่ 1 (the Nasrid emir Yusuf I)(ครองราชย์ ค.ศ. 1333–1354) บนพื้นที่ป้อมปราการก่อนหน้านี้เช่นกัน ยูซุฟยังสร้างทางเดินที่มีกำแพงล้อมรอบซึ่งเชื่อมระหว่างปราสาทกับป้อมปราการชั้นล่าง ทำให้เกิดกลุ่มอาคารที่มีป้อมปราการที่แทบจะไม่มีทางต้านทานได้

ในเหตุการณ์สำคัญใกล้สิ้นสุด Reconquista กษัตริย์สเปน Ferdinand และ Isabella ได้ยึดมาลากาจากชาวมุสลิมในช่วงการปิดล้อมมาลากา ซึ่งเริ่มขึ้นในวันที่ 6 พฤษภาคม ปี 1487 และจบลงด้วยการยอมจำนนของเมืองในวันที่ 18 สิงหาคมในปีเดียวกันนั้น  หลังจากชัยชนะ พระมหากษัตริย์ได้ยกมาตรฐานขึ้นที่ตอร์เร เดล โฮเมนาเค(the Torre del Homenaje) ในป้อมปราการชั้นใน

เริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 หน้าที่ทางทหารของอัลคาซาบา (Alcazaba) ยุติลง มันถูกครอบครองโดยพลเรือนและกลายเป็นพื้นที่ใกล้เคียงของเมือง เริ่มต้นในปี 1933 ภายใต้การดูแลของ Leopoldo Torres Balbás ชาวบ้านถูกอพยพและเริ่มการบูรณะ อัลคาซาบา (Alcazaba) พร้อมกับการสืบสวนทางโบราณคดี

800px 31.12.2021 Rundgang durch die Maurische Festung in Malaga. 11
ศาลาด้านทิศใต้ของพระราชวังไทฟา (มองจากด้านข้างลาน) ภาพโดย Holger Uwe Schmitt

 

800px Alcazaba of M%C3%A1laga
ซุ้มเกือกม้าสไตล์กาหลิบที่ทางเข้าห้องโถงใหญ่ ภาพโดย James (Jim) Gordon
450px Alcazaba of M%C3%A1laga%2C July 2017 17
ตัดส่วนโค้งหลายแผ่นในส่วนต่อขยายด้านข้าง ภาพโดย Mohatatou

ถ้าถามว่าอะไรคือเสน่ห์ของเมืองมาลากา  ก็คือการเดินเล่นรอบเมือง อย่างการเดินชมด้านนอกของโรงละครโรมันที่ก่อสร้างมาเป็นอัฒจันทร์หินกลางแจ้ง รูปครึ่งวงกลม ถือเป็นหนึ่งในโบราณสถานที่เก่าแก่ของเมืองมาลากา เลยทีเดียว และแน่นอนว่าทุกเมืองก็ต้องมีมหาวิหาร นี้คือ วิหาร Catedral de la Encarnacion de Malaga เป็นวิหารที่ใหญ่ที่ 2 ของสเปน ใช้เวลาสร้างประมาณ 250 ปี ถือว่าใหญ่และอลังการมาก เช่นเดิมสมัยก่อนที่แขกมัวร์ปกครองแคว้นแถบนี้ ก็จะมีมอสส์ (moss) อยู่ที่นี้ แต่พอคริสต์คาทอลิกเข้ามาก็สร้างเป็นวิหารแทน แล้วแคว้นแห่งนี้ก็นับถือศาสนาคริสต์

800px 254 Jahre dauerte es bis der Bau der Kathedrale von Malaga vollendet war. 02
มหาวิหารมาลากา ภาพโดย Holger Uwe Schmitt
800px 254 Jahre dauerte es bis der Bau der Kathedrale von Malaga vollendet war. 07
ด้านหน้า Die Portale ภาพโดย Holger Uwe Schmitt

มหาวิหารของ Malaga ได้รับการออกแบบในสไตล์ Renaissance โดย Diego de Siloe และสร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1528 – 1782

ภายในอลังการ มีเพดานที่สูงประมาณ 42 เมตร สูงที่สุดในสเปน เป็นศิลปะสไตล์ Renaissance โดย Diego de Siloe เขาเดินทางไปที่อิตาลีเพื่อเรียนวิชาสถาปัตยกรรมสไตล์ Renaissance และกลับมาสร้างมหาวิหารแห่งนี้

800px 254 Jahre dauerte es bis der Bau der Kathedrale von Malaga vollendet war. 11
พื้นที่ภายใน ภาพโดย Holger Uwe Schmitt
800px 254 Jahre dauerte es bis der Bau der Kathedrale von Malaga vollendet war. 12
ห้องนักร้องประสานเสียงที่มีสองออร์แกน ภาพโดย Holger Uwe Schmitt
400px 254 Jahre dauerte es bis der Bau der Kathedrale von Malaga vollendet war. 17
โบสถ์แห่งการจุติเป็นมนุษย์ ภาพโดย Holger Uwe Schmitt

วิหาร Catedral de la Encarnacion de Malaga เป็นโบสถ์นิกายโรมันคาทอลิกในเมืองมาลากา(Malaga) ในแคว้นอันดาลูเซีย(Andalucía) ทางตอนใต้ของสเปน อยู่ในประเพณีทางสถาปัตยกรรมยุคเรอเนซองส์(Renaissance) อาสนวิหารแห่งนี้ตั้งอยู่ภายในขอบเขตที่กำหนดโดยส่วนที่ขาดหายไปของกำแพงมัวร์ในยุคกลาง ซึ่งส่วนที่เหลืออยู่ล้อมรอบ Alcazaba และปราสาท Gibralfaro ที่อยู่ใกล้เคียง มันถูกสร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1528 ถึงปี ค.ศ. 1782 ตามแผนผังที่วาดโดย Diego de Siloe ภายในยังเป็นสไตล์เรอเนซองส์(Renaissance) อีกด้วย

800px 254 Jahre dauerte es bis der Bau der Kathedrale von Malaga vollendet war. 19
โบสถ์ด้านข้าง ภาพโดย Holger Uwe Schmitt

ด้านหน้าอาคารเป็นสไตล์บาโรกซึ่งต่างจากส่วนอื่นๆ ของอาคาร โดยแบ่งออกเป็น 2 ชั้น ได้แก่ ชั้นล่างมีซุ้มโค้งสามส่วน ภายในมีพอร์ทัล คั่นด้วยเสาหินอ่อน เหนือประตูมีเหรียญแกะสลักด้วยหิน ประตูด้านข้างเป็นตัวแทนของนักบุญอุปถัมภ์ของมาลากา นักบุญซีเรียคุส และนักบุญพอลลา ในขณะที่ประตูตรงกลางแสดงถึงการประกาศ หอคอยทิศเหนือมีความสูง 84 เมตร (276 ฟุต) ทำให้อาคารหลังนี้เป็นมหาวิหารที่สูงเป็นอันดับสองในแคว้นอันดาลูเซีย รองจากหอระฆัง Giralda แห่งเซบียา หอคอยทิศใต้ยังสร้างไม่เสร็จ

วันนี้คงต้องจบทริปทัศนศึกษาประเทศสเปน ที่มาลากา(Malaga, Spain)เป็นที่สุดท้ายแล้ว มาลากาเป็นเมืองท่าที่ติดทะเลแล้วก็จะมีเรือสำราญจากหลากหลายประเทศมาจอด นักท่องเที่ยวก็จะเยอะเช่นเดียวกัน ถ้าใครอยากจะมาเที่ยวที่ประเทศสเปน บอกได้เลยว่าแค่เริ่มต้นก็ประทับใจแล้ว


📒 อ้างอิง | แหล่งข้อมูล | แหล่งที่มา | ผู้สอน | ผู้เรียบเรียง:รักเรียน ruk-learn.com

→ พาทัศนศึกษาโดย นิว ชัยพล จาก รายการ The First Ultimate เที่ยวสุดโลก รีรันสเปน

→ รู้จัก Placa Sant Jaume แคว้นกาตาลุญญา จากหัวข้อเรื่อง ประวัติโดยย่อของ Plaça de Sant Jaume ในบาร์เซโลนา เขียนโดย Sonia Cuesta Maniar

→ รู้จัก ประวัติความเป็นมาของปาเอญ่า ข้าวผัดสเปน จากหัวข้อเรื่อง The History of Paella เขียนโดย Chef. Stephen Block

→ รู้จัก ประวัติความเป็นมาของ La Sagrada Familia มหาวิหารซากราดาแฟมิเลีย จาก หัวข้อเรื่อง Sagrada Família basilica, Barcelona, Spain เขียนโดย Jamie Middleton , Melissa Petruzzello

→ รู้จัก ประวัติความเป็นมาของ Palace of Catalan Music จาก หัวข้อเรื่อง A Brief History of Palau de la Música Catalana in Barcelona เขียนโดย Sonia Cuesta Maniar

→ รู้จัก ประวัติความเป็นมาโดยย่อของ Puerta de Alcala จาก หัวข้อเรื่อง The Alcala Gate is an iconic eighteenth century triumphal arch in Madrid constructed under King Charles III of Spain. เขียนโดย Peta Stamper

→ รู้จัก ประวัติความเป็นมาโดยย่อของ ปวยร์ตา เดลซอล (Puerta del Sol) จากหัวข้อเรื่อง History of the Puerta del Sol

→ รู้จัก ร้านอาหารเก่าแก่ Sobrino de Botín จากหัวข้อเรื่อง What It’s Like to Eat at the World’s Oldest Restaurant เขียนโดย DAVID POPE 

→ รู้จัก ประวัติโดยย่อ พระราชวังหลวงแห่งมาดริด Royal Palace of Madrid จากหัวข้อเรื่อง  Royal Palace of Madrid เขียนโดย Carol King

→ รู้จัก ความเป็นมาโดยย่อของ โบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในกรุงมาดริด Cetedral de la Almudena จากหัวข้อเรื่อง A Brief History of the Almudena Cathedral in Madrid เขียนโดย Lori Zaino

→ รู้จัก ความเป็นมาโดยย่อของ Plaza de Toros (พิพิธภัณฑ์ Bullfighting) จากหัวข้อเรื่อง Maestranza (Seville)

→ รู้จักความเป็นมาโดยย่อของ  Plaza de Espana จัตุรัสสเปน จากหัวข้อเรื่อง Plaza de España, Seville

→ รู้จักความเป็นมาโดยย่อของ Catedral de Sevilla มหาวิหารแห่งเมืองเซบีย่า จากหัวข้อเรื่อง Catedral de Sevilla เขียนโดย Carol King

→ รู้จักความเป็นมาโดยย่อของป้อมปราการและปราสาทอัลคาซาบา (La Alcazaba) จากหัวข้อเรื่อง Alcazaba of Málaga