ก่อนแผ่นดินจะจมทะเล

โลกของเราที่มี คาร์บอนไดออกไซด์(CO₂) เพิ่มสูงสุดและมีอุณหภูมิโลกสูงขึ้น และนํ้าแข็งในแอนตาร์กติกา (Antarctica) ละลายอย่างรวดเร็ว ชายฝั่งของโลกจะหายไป เมื่อระดับนํ้าทะเลจะสูงขึ้นอีก 50 ฟุต ก่อนศตวรรษที่ 23(ปี ค.ศ. 2201-2300)

แอนตาร์กติกา (Antarctica) จุดที่หนาวที่สุดของโลกกำลังละลาย นํ้ามหาศาลกำลังไหลลงสู่มหาสมุทร ระดับนํ้าทะเลสูงขึ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นกับโลกในอดีตและกำลังจะเกิดขึ้นอีก ตอนนี้ … 

มนุษย์จะต่อกรกับนํ้าทะเลที่สูงขึ้นที่จะเข้าท่วมเมืองได้อย่างไร? การกั้นนํ้าทะเลจะเป็นสิ่งที่โลกต้องทำก่อนปี 2100 เขื่อนกั้นขนาดใหญ่ใช้กั้นทะเล หรือ จะสร้างเมืองลอยนํ้า หรือ จะสร้างเขื่อนที่กว้างใหญ่เชื่อมทวีปต่างๆ ทั้งหมดนี้คือความท้าทายของมนุษย์ในเวลาข้างหน้า

01
ภาพจำลอง เมืองปารีส เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศฝรั่งเศส จมนํ้า ภาพโดย PSI SARADEE 99

นิวยอร์ก(New York City) ช่วงศตวรรษที่ 24 ระดับนํ้าทะเลจะสูงขึ้นราว 120 ฟุต(36.57600 เมตร)
แมนแฮตตัน(Manhattan) จะจมนํ้า อะไรที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่น่ากลัวแบบนั้นได้?

01
ภาพจำลอง นิวยอร์ก(New York City)ประเทศสหรัฐอเมริกา ช่วงศตวรรษที่ 24 จมนํ้า ภาพโดย PSI SARADEE 99

จุดเริ่มต้นมาจาก แอนตาร์กติกา(Antarctica) ทวีปที่ 7 ของโลก มีนํ้าแข็งปริมาณมหาศาล แผ่นนํ้าแข็งบางแผ่นในแอนตาร์กติกา(Antarctica) หนามากกว่า 2 ไมล์(3.218688 กิโลเมตร) ซึ่งไม่เหมือนเปลือกนํ้าแข็งในทะเล อาร์กติก(Arctic) แผ่นนํ้าแข็งจะเพิ่มระดับนํ้าทะเลถ้าหากละลายและมันก็เริ่มจะละลายแล้ว

นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกต้องการรู้ว่ามีปริมาณนํ้าแข็งในทวีปเท่าไหร่กันแน่ และนํ้าทะเลจะสูงขึ้นอีกเท่าไหร่ถ้าหากนํ้าแข็งละลาย นักวิทยาศาสตร์ได้ส่งเรดาร์ลงลึกไปในนํ้าแข็ง สะท้อนหินดานและวัดความลึกของแผ่นนํ้าแข็ง หลังจากนั้นนักวิทยาศาสตร์ก็คำนวณว่า แอนตาร์กติกา(Antarctica) มีนํ้าแข็งกว่า 90% ของทั้งโลก เมื่อรวมกับกรีนแลนด์(Greenland) ก็เพียงพอที่จะเพิ่มระดับของนํ้าทะเลได้มากถึง 230 ฟุต(70.10400 เมตร)

 ศาสตร์ตราจารย์ ปีเตอร์วอน(Peter Douglas Ward) นักบรรพชีวิน และ นักชีวดาราศาสตร์ ผู้เขียนประวัติศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตบนโลกมากมาย เขาอยากหาคำตอบว่าอะไรจะเกิดกับโลก ถ้าหากนํ้าทะเลสูงขึ้นฟุตต่อฟุต เขาเริ่มต้นสำรวจที่ ฟลอริดาคีย์ คือ หมู่เกาะที่ตั้งอยู่ทางใต้ของฝั่งฟลอริดา เขามองหาร่องรอยจากอดีตที่อาจจะช่วยทำนายอนาคตของโลกเราได้

ไม่กี่ฟุตใต้ระดับนํ้าทะเลเป็นปะการัง ชายฝั่งปะการังแบบนี้อยู่ที่นี้มาแล้วกว่า 4,000 ปี ในช่วงเวลานั้นระดับนํ้าทะเลคงที่ ไม่ใช่แค่ในฟลอริดา แต่เป็นทั่วโลก แต่ไม่ได้เป็นแบบนี้ตลอดไป ไม่กี่ร้อยหลาจากชายฝั่ง เขาลองสังเกตุกำแพงหินที่ถูกทิ้ง ซึ่งเผยให้เห็นหลักฐานที่น่าตกใจจากอดีต รอยปะการังในแผ่นหิน แผ่นหินเหล่านี้เคยอยู่ใต้นํ้าอย่างน้อย 10 ฟุต นี่เป็นสิ่งบ่งชี้ว่าระดับนํ้าทะเลที่มันขึ้นลง ซึ่งมันไม่น่าจะสูงขนาดนี้

ถ้าหากเรื่องนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง เมืองที่อยู่ชายฝั่งก็จะถูกนํ้าท่วม นํ้าทะเลที่สูงขึ้นไม่ใช่เรื่องหลอก มันเกิดขึ้นได้อีก แต่เกิดขึ้นมาก่อน ในโลกในอดีต

70,000 ปีก่อน เริ่มขึ้นด้วยยุคนํ้าแข็ง แผ่นนํ้าแข็งขยายไป ผืนแผ่นดินก็โตขึ้นและระดับนํ้าทะเลก็ลด อุณหภูมิเลยร้อนขึ้นอีกครั้ง นํ้าแข็งก็ลดลง ระดับนํ้าในทะเลก็กลับมาสูง แล้วก็เป็นแบบที่อยู่ตามชายฝั่งในทุกวันนี้

แต่อุณหภูมิโลกก็สูงขึ้นอีก เพราะพวกเราเผาน้ำมันฟอสซิลเป็นจำนวนมาก มันสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO₂) หรือก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้ชั้นบรรยากาศร้อนขึ้น เมื่อไรที่อุณหภูมิโลกสูงขึ้น นํ้าทะเลก็จะสูงขึ้นด้วย 

พวกเราได้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO₂) มากเกินไปซึ่งปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO₂) ในชั้นบรรยากาศนั้นเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 3 ของ 100 ปีก่อน และมันจะสูงกว่าทุกครั้งในรอบอย่างน้อยหลายล้านปี คาดว่าโลกจะร้อนขึ้นประมาณ 3-5 องศาเซลเซียลในศตวรรษที่ 21(ปี ค.ศ. 2001-2100) นี้ ยิ่งร้อนขึ้นเท่าไร นํ้าทะเลก็จะสูงเร็วขึ้นเท่านั้น หมายความว่าระดับนํ้าทะเลจะสูงเร็วขึ้นๆ หากว่าเราทำให้โลกร้อนขึ้น

การคาดเดาระดับนํ้าทะเลในอนาคตนั้นยาก เพราะโลกไม่เคยประสบกับเหตุการณ์ที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO₂) สูงขึ้นในรอบ 100 ปี การคาดเดาระดับนํ้าทะเลของนักวิทยาศาสตร์ระบุว่า นํ้าทะเลจะสูงขึ้นสูงสุด 6 ฟุต ในศตวรรษที่ 21(ปี ค.ศ. 2001-2100) นี้ ถ้าหากอุณหภูมิสูง

เมืองหนึ่งที่จะต้องเผชิญกับนํ้าท่วมในศตวรรษที่ 21(ปี ค.ศ. 2001-2100) นี้ คือ เมืองไมอามี(Miami) ตอนใต้ของรัฐฟลอริดาในสหรัฐ เมืองอยู่เหนือระดับนํ้าทะเลเพียงแค่ไม่กี่ฟุต และไม่มีการป้องกันระดับนํ้าที่สูงขึ้นเลย ถ้านํ้าทะเลสูงขึ้น 1 ฟุต(30.48 เซนติเมตร) ชายหาดก็จะจมอยู่ใต้นํ้า 2 ฟุต(60.96 เซนติเมตร) ถนนก็จะจมนํ้า ถ้า 3 ฟุต(0.9144 เมตร) ถ้าพายุเฮอริเคนถล่มคลื่นนํ้าก็จะล้นที่กั้นนํ้าทะเลและล้นเข้าท่วมแผ่นดินในเมือง บ้านเรือนต่างๆที่อยู่ริมชายฝั่งก็จะถูกทำลาย

ไม่ใช่แค่ที่พักอาศัยที่ได้รับกระทบ ท่าเรือต่างๆ ถ้าหากนํ้าทะเลสูงขึ้น 3 ฟุต(0.9144 เมตร) ก็ต้องสร้างใหม่ทั้งหมด ถ้าหากนํ้าทะเลขึ้น 4 ฟุต(1.2192 เมตร) แหล่งผลิตไฟฟ้าตามชายฝั่งจะได้รับผลกระทบเมื่อนํ้าท่วม เมื่อสูง 5 ฟุต(1.52400 เมตร) แหล่งผลิตนํ้าสะอาดของฟลอริดาจะปนเปื้อนนํ้าทะเล และอุทยานแห่งชาติเอเวอร์เกลดส์(Everglades National Park) จะเป็นอ่าวที่กว้าง และที่ 6 ฟุต(1.8288 เมตร) ผู้ลี้ภัยเป็นล้านๆจะต้องเก็บของแล้วจากเมืองไป

ก่อนที่จะถึงปี 2100 เมื่อนํ้าทะเลสูงขึ้น 6 ฟุต เมืองไมอามี(Miami) ก็จะจมนํ้า โดยไม่มีทางที่จะเตรียมพร้อมได้ ไม่สามารถที่จะวางเขื่อนกั้นนํ้าล้อมรอบระดับนํ้าทะเลที่สูง เมืองไมอามี(Miami) เป็นเมืองใหญ่ที่แค่เกิดมาเพียง 100 ปี กว่ามาไม่มาก ไม่ได้เก่าแก่ แต่เมืองไมอามี(Miami) อยู่ได้อีกไม่ถึง 100 ปี 

ทางเดียวที่จะป้องกันนํ้าท่วมในเมืองไมอามี(Miami) ก็คือการก่อสร้างเขื่อนกั้นนํ้าขนาดใหญ่มูลค่ามหาศาลรอบๆเมือง เป็นการท้าทายที่ใหญ่ของวิศวกรรม เพราะเมืองไมอามี(Miami) มีพื้นโปร่งให้นํ้าทะเลเข้าไปอยู่ได้อีกทางหนึ่ง แล้วอีกทางหนึ่ง หากเมืองไมอามี(Miami) ถูกนํ้าท่วมเมืองก็จะถูกทิ้งในที่สุด 

อีกเมืองหนึ่งที่ยืนยันว่าจะสู้กับระดับนํ้าทะเล คือ เมืองนิวออร์ลีนส์(New Orleans) ตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐลุยเซียนาในสหรัฐ เพื่อป้องกันเมืองนิวออร์ลีนส์(New Orleans) จากนํ้าท่วมในอนาคต รัฐบาลสหรัฐกำลังลทุนด้วยเงิน 1,000 ล้านเหรียญ เพื่อป้องกันนํ้าท่วมเมือง ตามแนวฝั่งแม่นํ้า องค์การบริหารการจัดการนํ้าและอุทกภัยของสหรัฐ ขยายเขื่อนออกไป งานที่สร้างเสร็จที่นี้ ให้ความรู้สึกเหมือนสิ่งก่อสร้างที่ศตวรรษที่ 21(ปี ค.ศ. 2001-2100) นี้ อาจจะต้องการ เพื่อป้องกันเมืองชายฝั่งรอบโลกจากระดับนํ้าทะเลที่สูงขึ้น

การเรียนรู้บทเรียนสำคัญมากมาย การออกแบบระบบการลดความเสี่ยงความเสียหายจากอุทกภัย และระบบนี้ประกอบไปด้วย กำแพงกั้นนํ้า จุดสูบนํ้า และเขื่อนกั้นนํ้า มีชุดที่มีการป้องกันแบบหลายชั้น 

การป้องกันเมืองนิวออร์ลีนส์(New Orleans) รวมวิธีการใหม่ๆที่มาต่อกรกับระดับนํ้าทะเลที่เพิ่มขึ้น กระแสนํ้าที่ทำลายแนวป้องกันของเมืองนิวออร์ลีนส์(New Orleans) ซึ่งองค์การบริหารการจัดการนํ้าและอุทกภัยของสหรัฐให้ความสำคัญ เพื่อจะสร้างสิ่งป้องกันนํ้าทะเลใน 2 ปี องค์การบริหารการจัดการนํ้าและอุทกภัยของสหรัฐได้นำหัวกะทิที่ประสบการณ์จากทั่วโลกเข้ามา วันหนึ่งแนวป้องกันแบบนี้อาจจะถูกสร้างไปทั่วโลก เพื่อกั้นนํ้าทะเลที่สูงขึ้น

ทุกเมืองตามชายฝั่งก็มีปัญหาต่างกัน เมืองนิวออร์ลีนส์(New Orleans) มีโคลนที่มีอายุเป็นล้าน เป็นดินที่ดีที่สุดของชาติ แต่เป็นดินที่แย่ที่สุดในการก่อสร้าง เครื่องตอกเสาเข็มที่จะสร้างประตูนํ้าและประตูเรือ ขุดเจาะลงไปอีก 60 ฟุต(18.28800 เมตร) ผ่านวัสดุที่ใหม่กว่าลงไปที่ดินเหนียวเก่าและตรงนี้คือฐานของเรา กำแพงหลักจะอยู่ลึกลงไป 130 ฟุต(39.62400 เมตร) และเครื่องตอกเสาเข็มจะตอกลงไปถึง 190 ฟุต(57.91200 เมตร)

เช่นเดียวกับการยับยั้งทะเล แผงกั้นใหม่ต้องให้เรือผ่านได้ด้วย แม้ว่าสิ่งป้องกันใหม่ของเมืองนิวออร์ลีนส์(New Orleans) จะใช้เงินของผู้จ่ายภาษีไปถึง 15,000 ล้านเหรียญ แต่มันถูกออกแบบให้เหมาะสมกับกระแสนํ้าที่มาจากระดับนํ้าทะเลในปัจจุบัน ถ้านํ้าทะเลสูงขึ้น 6 ฟุต(1.8288 เมตร) พายุกระแสนํ้าก็จะสูงขึ้น และที่ป้องกันของเมืองก็ต้องสูงขึ้นด้วย

ไม่ใช่ทุกประเทศที่จะใช้เงิน 1,000 ล้านเหรียญ สร้างที่ป้องกันได้ ประเทศบังกลาเทศ ถ้านํ้าทะเลขึ้นมา 3 ฟุต(0.9144 เมตร) ก็สร้างความเสียหายมากมายต่อประชากร  พื้นที่บนโลกนี้ทวีปเอเชีย เป็นพื้นที่ที่ถูกนํ้าทะเลโจมตีได้มากที่สุด พื้นสามเหลี่ยมปากแม่นํ้าในบังกลาเทศใกล้กับระดับนํ้าในทะเลมาก แม้นํ้าจะขึ้นเพียง 3 ฟุต(0.9144 เมตร) ก็ทำให้พื้นที่ของบังกลาเทศอยู่ใต้นํ้าได้

บังกลาเทศ มีประชากร 150 ล้านคน ส่วนใหญ่ของแผ่นดินคือถูกนํ้าท่วม เมื่อมีนํ้าทะเลหนุนสูงขึ้นมา แผ่นดินจะถูกนํ้าท่วมจนเหลือน้อย แต่ประชากรกลับเพิ่มขึ้น หายนะกำลังมาเยือนพวกเขา พื้นที่กว้างในบังกลาเทศเป็นโคลนปากแม่นํ้าที่ป้องกันไม่ได้ นํ้าทะเลขึ้น 6 ฟุต(1.8288 เมตร) ก็เป็นหายนะได้แล้ว

ก่อนปลายศตวรรษที่ 21(ปี ค.ศ. 2001-2100) เมืองและชายฝั่งทั่วโลกจะถูกล้อมรอบด้วยกระแสนํ้าที่สูงขึ้น ทุกที่ผู้คนจะสร้างเขื่อนกั้นนํ้าเพื่อต่อสู้กับนํ้า แต่ระดับนํ้าทะเลไม่หยุดแค่ 6 ฟุต ในศตวรรษที่ 22(ปี ค.ศ. 2101-2200) นํ้าทะเลจะสูงในอัตราที่เร็วขึ้น ตามที่คาดการ เวลาละลายของ กรีนแลนด์(Greenland) และ แอนตาร์กติกา (Antarctica) เมืองเปราะบางไม่มีเวลาสร้างเครื่องป้องกัน

ร่องรอยของความเร็วของระดับนํ้าทะเลที่สูงขึ้น หาได้จากอดีต ระหว่างยุคนํ้าแข็งที่ผ่านมา แผ่นนํ้าแข็งของโลกละลายลงสู่ทะเล ระดับนํ้าที่สูงขึ้นเริ่มจากช้าๆแล้วก็เร็วขึ้น จนมาถึง 390 ฟุต(118.87200 เมตร) จนกระทั่งเป็นเหมือนทุกวันนี้

คำถามคือมันจะเกิดขึ้นเร็วแค่ไหน คำตอบอาจคาดว่านํ้าทะเลสูงขึ้นเร็วแค่ไหนในศตวรรษหน้า แล้วเรามีเวลาป้องกันชายฝั่งแค่ไหน

ศาสตราจารย์ ริชาร์ด มอร์ตล็อค(Professor Richard Mortlock | Geologist, Rutgers University) ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนํ้าทะเลที่สูงขึ้นในอดีต เขาเก็บฟอสซิล(fossil) ในปะการัง มาจากใต้ทะเล ในห้องแล็บ เขาวิเคราะห์และเปรียบเทียบความลึกและอายุของตัวอย่าง ไม่นานคำตอบก็ออกมาว่า นํ้าทะเลเมื่อ 1,000 ปีก่อนขึ้นเร็วแค่ไหน

ฟอสซิล(fossil) ปะการัง 2 ชิ้นที่ถูกกู้มาจากแท่นขุดเจาะในประเทศบาร์เบโดส(Barbados) การกำหนดอายุ และรู้ความลึกที่มันอยู่ เขาสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการเพิ่มของระดับนํ้าที่สูงขึ้นแบบจุดต่อจุดใน 20,000 ปีก่อน มีจุดที่น่าสนใจของการเพิ่มระดับนํ้าทะเล เรียกว่า จังหวะการละลาย A1 ระหว่างช่วงเวลานั้นเชื่อว่านํ้าทะเลสูงขึ้นไปถึงระดับ 20 เมตรใน 500 ปี หรือประมาณ 4-5 เมตรต่อ 100 ปี

ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นอีก มันก็จะหมายความว่าระดับนํ้าทะเลจะสูงขึ้น 16 ฟุต(4.8768 เมตร)
ในศตวรรษที่ 22 (ปี ค.ศ. 2101-2200)

เราต้องศึกษาอะไรที่เป็นปัจจัยที่ทำให้นํ้าทะเลสูงเร็ว ถ้าเราคุมการปล่อยพลังงานไม่ได้ความสูงของระดับนํ้าทะเลก็จะเพิ่มอย่างรวดเร็ว และในศตวรรษที่ 22 (ปี ค.ศ. 2101-2200) มันไม่ใช่สูงขึ้นแค่ 5-7 ฟุต มันจะเพิ่มสูงกว่านั้นและเมืองชายฝั่งได้รับผลกระทบเต็มๆ

ถ้านํ้าทะเลในมหาสมุทรเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เมืองที่อ่อนแอที่สุดของโลกอาจไม่มีเวลาในการสร้างเครื่องป้องกันนํ้าทะเล ระดับนํ้าทะเลจะสูงขึ้น 10 ฟุตต่อศตวรรษ นํ้าจะท่วมเมืองนิวออร์ลีนส์(New Orleans) ตามด้วยเมืองไมอามี(Miami) เมืองฟลอริดา(Florida) ตอนใต้จะหายไปกับทะเล เมืองชายฝั่งอื่นๆจะต้องสู้เพื่อยับยั้งกระแสนํ้า

หนึ่งในนั้นก็คือเมืองซานฟรานซิสโก(San Francisco) พื้นที่อ่าวซานฟรานซิสโก(San Francisco) ถูกระดับนํ้าทะเลกระทบได้ง่าย เป็นเพราะประวัติศาสตร์ แม้ว่าอ่าวจะใหญ่แต่มันตื้นมากๆ พื้นที่ 2 ใน 3 ลึกกว่า 12 ฟุต พื้นที่จำนวนมากเต็มและถูกบุกเบิก และในเมืองซานฟรานซิสโก(San Francisco) เคยมีนํ้าทะเลสูงขึ้น 7 นิ้ว ช่วงศตวรรษที่ 20(ปีค.ศ. 1901 – 2000)

ถ้านํ้าทะเลสูงขึ้นอีก 16 ฟุต ต่อศตวรรษ ผู้คนเป็นแสนๆก็จะตกอยู่ในอันตรายในการสูญเสียบ้านในพื้นที่อ่าว

01 vert
ภาพจำลอง อ่าวซานฟรานซิสโก ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา จมนํ้า ภาพโดย PSI SARADEE 99

เพื่อที่จะปกป้องอ่าวซานฟรานซิสโก เขื่อนกั้นนํ้าต้องถูกสร้างให้ใหญ่โต วิศวกรรมในการยับยั้งนํ้าทะเลจะเป็นงานหลักของโลก ในปี 2100 เพื่อที่จะป้องกันพื้นที่อ่าว ชายฝั่งทั้งหมดจะต้องถูกป้องกันด้วยเขื่อนกั้นนํ้า

ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน(Mediterranean Sea) มีหลายประเทศซึ่งมีประวัติเป็นพันๆปี แล้วระดับนํ้าทะเลที่สูงขึ้นอีก 16 ฟุต(4.8768 เมตร) จะกระทบกับที่นี่อย่างไร ความสูงของระดับนํ้าทะเลจะเป็นหายนะของอุตสาหกรรม ชายหาดส่วนใหญ่จะหายไป 

800px Mediterranean Sea 16.61811E 38.99124N
ภาพถ่ายดาวเทียมของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ภาพโดย Eric Gaba

เมืองบาร์เซโลนา(Barcelona) ไม่เหมือนกับ เมืองไมอามี(Miami) และ เมืองนิวออร์ลีนส์(New Orleans) เมืองบาร์เซโลนา มีภูเขาเพื่อย้ายไปอยู่ แต่ถ้าหากนํ้าทะเลสูงขึ้นอีก 16 ฟุต(4.8768 เมตร) ในศตวรรษที่ 22 (ปี ค.ศ. 2101-2200) เมืองบาร์เซโลนาก็จะได้รับผลกระทบอย่างมาก จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสังคม การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของประชากร ในเรื่องของการใช้ชีวิต ตอนนี้เรามีความสุขกับนํ้าทะเล แต่ภายหน้าเราต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่

มาตรการคาดการณ์ในระยะสั้นอย่างนํ้าทะเลขึ้น 6 ฟุต ในศตวรรษที่ 21 (ปี ค.ศ. 2001-2100) ท่าเรือใหญ่ของเมืองบาร์เซโลนา อาจไม่มีอีกต่อไป แล้วอีก 16 ฟุต ตัวเมืองบาร์เซโลนา ก็จะถูกนํ้าท่วม

01 vert
ภาพจำลอง เมืองบาร์เซโลนา(Barcelona) จมนํ้า ภาพโดย PSI SARADEE 99

และหลายเมืองในเมืองชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน(Mediterranean Sea) ที่จะต้องจมนํ้า ในศตวรรษที่ 22 (ปี ค.ศ. 2101-2200)

ประเทศเนเธอร์แลนด์(Netherlands)(ชาวดัตช์) ประเทศที่รํ่ารวยที่อยู่รอด หากระดับนํ้าทะเลสูงขึ้นอีก 16 ฟุต(4.8768 เมตร) ที่นี่คือหนึ่งในประเทศที่ตกอยู่ในอันตราย พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับนํ้าทะเล และยังหาทางที่จะอุดนํ้าได้อยู่ ซึ่งมีการระวังและรับมือกับปัญหาระดับนํ้าทะเลในประเทศ ชาวดัตช์เรียนรู้บทเรียนเมื่อครั้งพายุใหญ่ทำลายเครื่องป้องกันนํ้าทะเลในปี 1953 พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศนํ้าท่วม และคนจมกว่า 2,000 คน

130115615 bbcm netherlands country profile 080623
รูปแผนที่ประเทศ Netherlands ภาพโดย BBC News

ตั้งแต่นั้น ชาวดัตช์เลยเปลี่ยนเนเธอร์แลนด์มาสร้างเครื่องป้องกันนํ้าทะเล วิศวกรชาวดัตช์ที่เก่งและมีประสบการณ์ โดยคิดที่จะสร้างกำแพงกั้นนํ้าทะเล พายุที่แรงที่พัดเอากระแสนํ้า ยังพร้อมที่จะเข้ามา หากพายุใหญ่ใกล้เข้ามา และมีเขื่อนกั้นนํ้าแบบใหม่ที่ป้องกันนํ้าทะเลที่สูงขึ้น เพิ่มจากการรั่วซึมข้างล่าง 

การออกแบบปรับได้ เพื่อจะกั้นทะเล แม้ระดับจะสูงขึ้นถึง 16 ฟุตต่อศตวรรษ แต่ก็อาจจะไม่มีเวลาพอที่จะสร้างสุดยอดเขื่อนในทุกที่

ตอนศตวรรษที่ 23(ค.ศ.2201 – 2300) แผ่นนํ้าแข็งจะละลายด้วยอัตราที่เร็วกว่าก่อนหน้านี้ และนํ้าในมหาสมุทรจะสูงขึ้นเร็วกว่าเดิม สาเหตุเป็นเพราะว่าการใช้พลังงานจากประชากรที่เพิ่มขึ้นของโลก จำนวนผู้คน คนทุกคนก็อยากจะได้บ้าน ต้องการอาหาร การคมนาคม พูดง่ายๆทุกคนเพิ่มการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO₂)

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO₂)จะเพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่า ในศตวรรษหน้า หมายความว่า ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO₂) จะถึงระดับเหมือนกับเมื่อ 50 ล้านปีก่อน ตอนไม่มีนํ้าแข็งอยู่บนโลก และตอนระดับนํ้าทะเลเพิ่มอีก  230 ฟุต(70.10400 เมตร) จากปัจจุบัน

มันใช้เวลาไม่ถึง 1,000 ปี สิ่งที่มนุษย์ต้องเจอเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องทำให้เสร็จภายในกรอบเวลา เพราะมันคือสิ่งที่แย่ที่สุด ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO₂) เพิ่มสูงสุด อุณหภูมิโลกสูงขึ้น แอนตาร์กติกา (Antarctica) ละลายอย่างรวดเร็ว ชายฝั่งของโลกจะหายไปเมื่อระดับนํ้าทะเลสูงขึ้นอีก 50 ฟุต(15.24 เมตร) ก่อนศตวรรษที่ 23 (ค.ศ. 2201 – 2300)

เมืองลอนดอน(London) เมืองที่รํ่ารวยที่จะอยู่รอดได้ แม่นํ้าสายหลัก แม่น้ำเทมส์(River Thames) นํ้าจะขึ้นลง และความสูงของนํ้าจะหลากหลายไปถึง 22 ฟุต กำแพงของแม่น้ำเทมส์(River Thames) ได้ป้องกันเมืองจากพายุุที่มาจากทะเล ถ้าคลื่นสูงไม่ปกติ กำแพงก็จะปิดประตูและเมืองลอนดอนด้านในจะปลอดภัย

ถ้าระดับนํ้าทะเลขึ้น 6 ฟุต กำแพงก็จะถูกแทนที่ด้วยกำแพงยักษ์ที่ต้นนํ้า แต่ถ้านํ้าขึ้น 50 ฟุต ต่อศตวรรษ ก็จะไม่มีเวลาก่อสร้างเครื่องป้องกันที่เพียงพอได้ มันจะเป็นสถานการณ์ที่หายนะ แปลว่าเราจะอยู่ตามชายฝั่งไม่ได้

01 vert
ภาพจำลอง แผ่นดินประเทศอังกฤษจมนํ้า ภาพโดย PSI SARADEE 99

แต่ถ้า ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO₂) มีอัตราที่เพิ่มขึ้น นํ้าทะเล 50 ฟุต ต่อศตวรรษ จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน ทะเลที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จะอ้อมกำแพงใหม่ไป เมืองลอนดอนและพื้นที่อังกฤษจะถูกนํ้าท่วมในอีกไม่กี่ศตวรรษ

นํ้าที่สูงขึ้นจะซึมเข้าเขื่อนกั้นนํ้าที่ล้าสมัย หรืออาจจะทะลุผ่านจุดที่ไม่แข็งแรง ระดับนํ้าทะเลที่สูงขึ้นจะเข้าท่วมในบริเวณกว้างในยุโรป ตอนเวลานั้นนํ้าแข็งทั้งหมดในแอนตาร์กติกา (Antarctica) จะละลาย เดนมาร์ก อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ รวมทั้งที่กว้างในเยอรมันตอนเหนือ และฝรั่งเศส ก็จะหายไป

888
ภาพจำลอง นํ้าท่วมแผ่นดินในยุโรป ภาพโดย PSI SARADEE 99

เบอร์ลิน(Berlin) เมืองหลวงของเยอรมัน จะกลายเป็นเมืองชายฝั่งในไม่กี่ศตวรรษ อีก 100 ปี เมืองก็จะจมอยู่ใต้ทะเล นํ้าที่สูงขึ้นจะเข้ามาที่แม่นํ้าแซน(Seine) และไปที่ปารีส(Paris) เมื่อนํ้าที่สูงขึ้น 155 ฟุต เมืองหลวงของฝรั่งเศสจะอ่อนแอมากกับนํ้าทะเลที่สูงขึ้น นํ้าจะท่วมหลังจากนํ้าแข็งทั้งโลกละลาย

การละลายของแผ่นนํ้าแข็ง จะเปลี่ยนโลกไปอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าชายฝั่งจะจมจากระดับนํ้าทะเลที่สูงขึ้น มนุษย์ที่มีความสามารถจะพยายามปรับตัว

นิวยอร์ก(New York City) เกาะแมนฮัตตัน(Manhattan) ง่ายต่อการถูกโจมตีด้วยนํ้าทะเลที่สูงขึ้น หลังที่นํ้าสูงขึ้น 6 ฟุต(1.8288 เมตร) ส่วนที่ตํ่าของแมนฮัตตัน(Manhattan) จะถูกนํ้าท่วม ถ้า 50 ฟุต(15.24 เมตร) นํ้าจะไหลไปสู่กลางเมือง ถ้า 250 ฟุต(76.2 เมตร) นํ้าจะท่วมถึงพื้นสะพานแมนฮัตตัน(Manhattan) และเมืองนิวยอร์ก(New York City) ก็จะไม่มีอีกแล้ว

01
สภาพเมืองนิวยอร์ก(New York City) เมื่อนํ้าทะเลสูง 250 ฟุต(76.2 เมตร) ภาพโดย PSI SARADEE 99

มันจะเป็นสื่งที่ดีมาก ถ้าหากทั่วโลกร่วมมือกัน ต้านระดับนํ้าทะเล ไม่ว่าคำตอบเรื่องนํ้าจะเป็นอะไร กำแพงกั้นนํ้า หรือสุดยอดเขื่อน ระดับนํ้าทะเลกำลังเพิ่มขึ้น คำถามไม่ใช่คำว่า ถ้า แต่มันคือ มันจะเพิ่มเร็วแค่ไหน แล้วเมื่อไร? หลายอย่างขึ้นอยู่กับเราที่ปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO₂) ออกมามากแค่ไหน

เมื่อทะเลเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเพราะฝีมือของมนุษย์  เราจะยื้อเวลาไม่ให้เกิดนํ้าท่วมกับโลกที่ประกอบด้วย นํ้ามากถึง 3 ใน 4 ส่วน และมหาสมุทรที่ครองพื้นที่กว่า 71% ของพื้นผิวของโลก ได้หรือไม่

มหาสมุทรที่คอยดูดซับความร้อนและคาร์บอนของโลกเอาไว้มากถึง 90% เมื่อทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้นบนโลก สร้างค วามร้อนติดต่อกันมาหลายร้อยปีก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO₂) มหาสมุทรก็ยิ่งดูดความร้อนลงไปเก็บไว้ใต้ทะเลมากยิ่งขึ้น จนทำให้เกิดภาวะ “นํ้าทะเลอุ่น”

เมื่อนํ้าทะเลอุ่นขึ้น ทำให้ธารนํ้าแข็งในพื้นที่ที่มีความหนาวเย็นเริ่มละลายเร็วกว่าเดิม และไม่ใช่แค่ทำให้นํ้าทะเลสูงขึ้นเพียงอย่างเดียว การที่นํ้าทะเลอุ่นส่งผลให้มวลนํ้าขยายตัวและระเหย ยิ่งทำให้ระดับนํ้าทะเลเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน

บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของแปซิฟิก เป็นจุดที่มีนํ้าทะเลเพิ่มสูงขึ้นกว่าทุกที่บนโลกถึง 2 เท่า ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา และมหาสมุทรในภูมิภาคนี้มีอุณหภูมิผิวนํ้าทะเลเพิ่มขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก 3 เท่า นับตั้งแต่การสำรวจเก็บข้อมูลในปี 1980 

ระดับนํ้าทะเลที่สูงและอุ่นขึ้น ไม่ใช่ภัยคุกคามที่ไกลตัวต่อมนุษย์อีกต่อไป ประเทศที่กำลังพัฒนาที่เป็นหมู่เกาะจะได้รับผลกระทบหนักก่อนใคร เมื่อปี 2019 ประเทศหมู่เกาะขนาดเล็กอย่าง ฟิจิ(Fiji) ที่พื้นที่ครึ่งหนึ่งของหมู่บ้านขนาดเล็กๆ ที่ชื่อว่า วูนิโดโกรัว ถูกโจมตีด้วยน้ำทะเลรุกล้ำเข้ามาจากชายฝั่งเดิมถึง 300 ฟุต  และเพียงไม่กี่สิบปี หมู่บ้านอีกกว่า 40 แห่งของฟิจิ ก็จะพบเจอแบบเดียวกับหมู่บ้าน วูนิโดโกรัว 

อีกทั้ง ภาวะนํ้าทะเลอุ่น จะส่งผลให้แนวปะการังและห่วงโซ่อาหารในทะเลถูกทำลาย จนสัตว์ทะเลชนิดต่างๆ จำเป็นต้องอพยพย้ายถิ่น ไปหาพื้นที่ที่มีอุณหภูมินํ้าเย็นกว่า ทำให้ปริมาณสัตว์นํ้าลดลง บางชนิดเสี่ยงสูญพันธุ์

นอกจากนั้น คลื่นความร้อนที่เพิ่มความถี่ขึ้น 2 เท่า แถมยังเกิดในระยะเวลาที่ยาวนานยิ่งขึ้น จะส่งผลเสียต่อผลผลิตทางการเกษตร เพราะว่าจะเผชิญกับความแห้งแล้งเฉียบพลัน สภาพอากาศแปรปรวน 

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ ทั้งระดับนํ้าทะเลที่สูงและอุ่นขึ้น ล้วนเกิดจากฝีมือมนุษย์ และในวันที่นํ้าทะเลสูงจนเกินควบคุม เราไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่า มนุษย์จะเป็นอย่างไร ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาเพียง 30 ปี ที่ผ่านมา เป็นคำเตือนให้พวกเราเตรียมรับมือกับนํ้าทะเลมากกว่าที่เคย

รายงานการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลในรอบ 30 ปี

เมื่อ 30 ปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรได้ส่งดาวเทียมดวงใหม่ขึ้นสู่อวกาศเพื่อศึกษาระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและต่ำลงตามกาลเวลา ซึ่งแต่ก่อนนี้สามารถทำได้เฉพาะจากชายฝั่งเท่านั้น

TOPEX/Poseidon ขึ้นสู่อวกาศเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 1992 และเริ่มบันทึกความสูงของผิวน้ำทะเลทั่วโลกในรอบ 30 ปี การสังเกตการณ์ดังกล่าวได้ยืนยันสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เคยเห็นจากแนวชายฝั่งในระดับโลกแล้วว่า ระดับน้ำทะเลกำลังสูงขึ้น และอัตราเร่งก็เพิ่มขึ้นด้วย

นักวิทยาศาสตร์พบว่าระดับน้ำทะเลเฉลี่ยทั่วโลก ซึ่งแสดงเป็นเส้นกราฟด้านบนและด้านล่างนั้นสูงขึ้น 10.1 เซนติเมตร (3.98 นิ้ว) ตั้งแต่ปี 1992 ในช่วง 140 ปีที่ผ่านมา ดาวเทียมและเครื่องวัดระดับน้ำทะเลร่วมกันแสดงให้เห็นว่า ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้น 21 ถึง 24 เซนติเมตร (8 ถึง 9 นิ้ว)

เริ่มจาก TOPEX/Poseidon, NASA และหน่วยงานอวกาศพันธมิตรได้ส่งดาวเทียมชุดต่อเนื่องที่ใช้เครื่องวัดความสูงแบบเรดาร์เพื่อตรวจสอบลักษณะพื้นผิวมหาสมุทร ซึ่งก็คือรูปร่างแนวตั้งและความสูงของมหาสมุทร เครื่องวัดความสูงแบบเรดาร์จะส่งคลื่นวิทยุ (ไมโครเวฟ) ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยคลื่นดังกล่าวจะสะท้อนจากพื้นผิวมหาสมุทรกลับไปยังดาวเทียม เครื่องมือจะคำนวณเวลาที่สัญญาณจะกลับมา พร้อมทั้งติดตามตำแหน่งที่แน่นอนของดาวเทียมในอวกาศด้วย จากข้อมูลนี้ นักวิทยาศาสตร์จึงได้คำนวณความสูงของพื้นผิวทะเลที่อยู่ใต้ดาวเทียมโดยตรง

ตั้งแต่ปี 1992 เป็นต้นมา ภารกิจ 5 ครั้งที่ใช้เครื่องวัดความสูงแบบเดียวกันได้โคจรซ้ำในวงโคจรเดียวกันทุก ๆ 10 วัน ได้แก่
TOPEX/Poseidon (1992 ถึง 2006),
ason-1 (2001 ถึง 2013),
Ocean Surface Topography Mission/Jason-2 (2008 ถึง 2019),
Jason-3 (2016 ถึงปัจจุบัน)
และ Sentinel-6 Michael Freilich (2020 ถึงปัจจุบัน)

ภารกิจดังกล่าวได้รับการสร้างขึ้นผ่านความร่วมมือต่างๆ ระหว่าง NASA, Centre National d’Etudes Spatiales (CNES) ของฝรั่งเศส, องค์กรเพื่อการใช้ประโยชน์จากดาวเทียมอุตุนิยมวิทยาแห่งยุโรป (EUMETSAT) หน่วยงานอวกาศยุโรป (ESA) และองค์การบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NOAA)

ทีมงานภารกิจได้ร่วมกันรวบรวมบันทึกภูมิประเทศมหาสมุทรที่เป็นมาตรฐานเดียวกันซึ่งเทียบเท่ากับงานของเครื่องวัดระดับน้ำขึ้นน้ำลงกว่าครึ่งล้านเครื่อง นักวิทยาศาสตร์ได้รวบรวมและรับรองบันทึกข้อมูลที่มีความยาวเพียงพอและละเอียดอ่อนเพียงพอที่จะตรวจจับการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลทั่วโลกและระดับภูมิภาคที่เกินกว่าวัฏจักรตามฤดูกาล รายปี และทศวรรษที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ

“ด้วยข้อมูล 30 ปี ในที่สุดเราก็สามารถเห็นได้ว่า มนุษย์ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงเพียงใดต่อสภาพอากาศของโลก” Josh Willis นักสมุทรศาสตร์จาก Jet Propulsion Laboratory และ Michael Freilich นักวิทยาศาสตร์โครงการ Sentinel-6 ของ NASA กล่าว “ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นอันเกิดจากการรบกวนสภาพอากาศของมนุษย์ทำให้วัฏจักรธรรมชาติถูกทำลายลง” และเกิดขึ้น เร็วขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ ทศวรรษ”

แผนที่ด้านบนสุดของหน้านี้แสดงแนวโน้มระดับน้ำทะเลทั่วโลกตามที่สังเกตจากปี 1993 ถึง 2022 โดย TOPEX/Poseidon ภารกิจ Jason ทั้งสาม และ Sentinel-6 Michael Freilich สังเกตการเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นที่ในอัตราการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล โดยบางส่วนของมหาสมุทรเพิ่มขึ้นเร็วกว่า (แสดงด้วยสีแดงและสีส้มเข้ม) เมื่อเทียบกับอัตราทั่วโลก ความผิดปกติหลายประการสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในระยะยาวของกระแสน้ำในมหาสมุทรและการกระจายความร้อน

ข้อมูลจากอัลติมิเตอร์ ยังแสดงให้เห็นว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลกำลังเร่งตัวขึ้น ในช่วงศตวรรษที่ 20 ระดับน้ำทะเลเฉลี่ยทั่วโลกเพิ่มขึ้นประมาณ 1.5 มิลลิเมตรต่อปี ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 เพิ่มขึ้นประมาณ 2.5 มิลลิเมตรต่อปี ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา อัตราดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 3.9 มิลลิเมตร (0.15 นิ้ว) ต่อปี

แม้ว่าระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นเพียงไม่กี่มิลลิเมตรต่อปีอาจดูเล็กน้อย แต่บรรดานักวิทยาศาสตร์ประมาณการว่าระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 2.5 เซนติเมตร (1 นิ้ว) จะทำให้ชายหาดหายไป 2.5 เมตร (8.5 ฟุต) ตามแนวชายฝั่งโดยเฉลี่ย นอกจากนี้ยังหมายความว่า น้ำขึ้นสูงและคลื่นพายุอาจสูงขึ้นอีก ทำให้เกิดน้ำท่วมชายฝั่งมากขึ้น แม้ในวันที่อากาศแจ่มใส ในรายงานที่ออกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2022 นักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐฯ สรุปว่าภายในปี 2050 ระดับน้ำทะเลตามแนวชายฝั่งของสหรัฐฯ อาจสูงขึ้น 25 ถึง 30 เซนติเมตร (10 ถึง 12 นิ้ว) เหนือระดับปัจจุบัน


📒 อ้างอิง | แหล่งข้อมูล | แหล่งที่มา | ผู้สอน | ผู้เรียบเรียง:รักเรียน ruk-learn.com

→ สารคดี โลกใต้บาดาล โดย PSI SARADEE 99

→ ภาวะทะเลอุ่น โดย รายการ KEY MESSAGES THE STANDARD

→ ติดตามการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลในรอบ 30 ปี โดย  earthobservatory.nasa.gov


นวนิยาย ดวงใจเทวพรหม ลดราคาทุกเล่ม มีฉบับพิเศษด้วยนะ
นวนิยาย ดวงใจเทวพรหม ลดราคาทุกเล่ม มีฉบับพิเศษด้วยนะ

รวมหนังสือ นวนิยาย ดวงใจเทวพรหม ครบทุกเรื่อง นวนิยายโรแมนติกพีเรียดที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดใจนวนิยายสำหรับคนที่มีรักแท้ชอบความโรแมนติก อบอุ่น ผู้ที่คิดว่า ความรักแท้สามารถเอาชนะทุกอุปสรรคได้ และแฟนคลับนักอ่าน จาก นวนิยายชุด สุภาพบุรุษจุฑาเทพอ่านต่อ