ฟิสิกส์ในชีวิตประจำวัน ที่คุณอาจไม่เคยสังเกต ตั้งแต่การต้มน้ำจนเดือด ไปจนถึงการกระเด้งของลูกบอล

ฟิสิกส์ในชีวิตประจำวัน ที่คุณอาจไม่เคยสังเกต
ฟิสิกส์ในชีวิตประจำวัน ที่คุณอาจไม่เคยสังเกต

ฟิสิกส์ไม่ใช่เรื่องไกลตัวที่อยู่แค่ในตำราเรียน แต่เป็นส่วนหนึ่งของทุกสิ่งที่เราทำ ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน เราปฏิสัมพันธ์กับหลักการทางฟิสิกส์อยู่เสมอโดยไม่รู้ตัว มาดูกันว่าฟิสิกส์แฝงตัวอยู่ในชีวิตประจำวันของเราอย่างไรบ้าง ตั้งแต่เรื่องง่ายๆ อย่างการต้มน้ำ ไปจนถึงการเคลื่อนที่ของลูกบอล

สวัสดีทุกคน เราจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกของ ฟิสิกส์ในชีวิตประจำวัน ที่ซ่อนอยู่ในสิ่งรอบตัวที่เราทำทุกวัน ตั้งแต่ การต้มน้ำ ที่เดือดปุดๆ ในครัว ไปจนถึง การโยนลูกบอล ที่เด้งดึ๋งๆ หรือแม้แต่ การเดิน ที่ดูง่ายๆ แต่เต็มไปด้วยแรงลึกลับ ยังไม่หมดแค่นั้น เราจะไปสำรวจ การมองเห็น ที่ทำให้โลกนี้มีสีสัน และปิดท้ายด้วย เครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ขับเคลื่อนชีวิตเราด้วยพลังงานสุดเจ๋ง ทุกเรื่องราวเต็มไปด้วยหลักการฟิสิกส์สุดว้าวที่คุณอาจไม่เคยสังเกต


เรื่องใกล้ตัวที่ทุกคนเคยทำ แต่ไม่เคยรู้ว่ามันมีอะไรเจ๋งๆ ซ่อนอยู่ นั่นคือ การต้มน้ำจนเดือด การต้มน้ำที่เราทำตอนชงกาแฟ ต้มมาม่า หรือทำกับข้าวนี่แหละ มันไม่ได้ธรรมดาเลย เพราะมันเต็มไปด้วยหลักการฟิสิกส์สุดล้ำที่เราจะมาคุยกันแบบละเอียด ไปดูกันว่าเบื้องหลังน้ำเดือดปุดๆ นั้นมีอะไรซ่อนอยู่บ้าง 🚀

สารบัญบทความ

การต้มน้ำคืออะไร?

ถ้าคุณวางหม้อน้ำบนเตา เปิดไฟ แล้วน้ำเริ่มร้อนขึ้น ฟองปุดๆ เริ่มโผล่ แล้วสุดท้ายมันก็เดือดพล่าน ดูเหมือนง่าย แต่จริงๆ แล้วมันคือการแสดงของฟิสิกส์ที่เกี่ยวข้องกับ การถ่ายโอนความร้อน และ การเปลี่ยนสถานะของสสาร เราจะมาทำให้มันสนุกและเข้าใจง่ายแบบสุดๆ

960px Boiling water
นํ้ากำลังเดือด ภาพโดย GRAN

การต้มน้ำมันมี 3 กระบวนการหลักๆ ที่เราจะเจาะลึกกัน
👉 การนำความร้อน (Conduction)
👉 การพาความร้อน (Convection)
👉 การระเหยและการเดือด (Evaporation & Boiling)

ตอนที่ 1 การนำความร้อน (Conduction) – ความร้อนเริ่มต้นที่ก้นหม้อ

เตาแก๊สหรือเตาไฟฟ้าที่คุณเปิดไฟลุกโชนหรือขดลวดร้อนแดง ความร้อนจากเปลวไฟหรือขดลวดนี่แหละจะถ่ายเทไปยัง ก้นหม้อ ก่อนเลย หม้อที่ทำจากโลหะ เช่น อลูมิเนียมหรือสแตนเลส เป็นตัวนำความร้อนชั้นยอด โมเลกุลของโลหะในหม้อจะเริ่มสั่นสะเทือนเมื่อได้รับพลังงานความร้อน แล้วส่งต่อพลังงานนี้ไปยัง โมเลกุลน้ำ ที่สัมผัสกับก้นหม้อ

simwiki conduction heat transfer modes
What is Conduction ภาพโดย simscale

ลองนึกถึงโมเลกุลน้ำเป็นกลุ่มคนที่ยืนเบียดกันในคอนเสิร์ต พอคนข้างหน้าเริ่มโยกตัว คนข้างหลังก็โยกตาม นี่คือวิธีที่พลังงานความร้อนแพร่กระจายจากก้นหม้อไปยังน้ำ โดยโมเลกุลน้ำที่อยู่ใกล้ก้นหม้อจะเริ่มสั่นแรงขึ้นและร้อนขึ้นนั่นเอง🔥

Heat transmittance means2
การถ่ายเทความร้อนที่แสดงด้วยกองไฟ ภาพโดย Kmecfiunit

การนำความร้อนไม่ได้เกิดแค่ในหม้อต้มน้ำนะครับ แต่เกิดในทุกอย่างรอบตัว เช่น เวลาคุณจับแก้วกาแฟร้อนแล้วรู้สึกอุ่นมือ หรือตอนที่คุณเดินเท้าเปล่าบนพื้นหินอ่อนแล้วรู้สึกเย็น นั่นก็เพราะความร้อน (หรือความเย็น) ถ่ายเทผ่านการนำความร้อนนี่แหละ และถ้าอยากรู้ว่าโลหะนำความร้อนดีแค่ไหน ลองนึกถึงช้อนโลหะที่คุณทิ้งไว้ในซุปร้อนสิ แค่ไม่กี่วินาทีด้ามช้อนก็ร้อนจนจับไม่ได้แล้ว

ตอนที่ 2 การพาความร้อน (Convection) – น้ำเริ่มเต้นระบำ

เมื่อน้ำที่ก้นหม้อเริ่มร้อน มันจะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า การพาความร้อน ซึ่งฟังดูอาจจะซับซ้อน แต่จริงๆ มันคือการที่น้ำร้อนลอยขึ้น และน้ำเย็นจมลงมา ทำไมถึงเป็นแบบนี้? เพราะเมื่อน้ำร้อนขึ้น มันจะ ขยายตัว และมีความหนาแน่นน้อยลง น้ำร้อนเลยลอยขึ้นไปด้านบนของหม้อ ขณะที่น้ำเย็นที่หนาแน่นกว่าก็จะจมลงมาแทนที่ เกิดเป็น กระแสน้ำวน ที่ช่วยกระจายความร้อนให้ทั่วทั้งหม้อ

61015bb8 3494 497d acef 62ee996e4301
Convection Process ภาพโดย vedantu

ลองนึกภาพเหมือนลมร้อนในบอลลูนลมร้อนที่ลอยขึ้นฟ้า เพราะมันเบากว่าอากาศเย็นรอบๆ การพาความร้อนในน้ำก็เหมือนกัน คุณจะเริ่มเห็นน้ำในหม้อหมุนวนๆ และนี่คือเหตุผลที่น้ำเดือดมันดูมีชีวิตชีวา ปุดๆ ปุ๊ดๆ ทั่วทั้งหม้อ

การพาความร้อนไม่ได้เกิดแค่ในน้ำนะครับ แต่เกิดในของเหลวและแก๊สทุกประเภท เช่น ในมหาสมุทร การพาความร้อนเป็นตัวขับเคลื่อนกระแสน้ำในทะเล ซึ่งส่งผลต่อสภาพอากาศทั่วโลก หรือในชั้นบรรยากาศของโลก การพาความร้อนทำให้เกิดลมและพายุ อย่างเช่นพายุไต้ฝุ่นที่เราเจอบ่อยๆ ในเมืองไทย นี่คือพลังของการพาความร้อนในธรรมชาติ

ตอนที่ 3 การระเหยและการเดือด (Evaporation & Boiling) – น้ำกลายร่างเป็นไอน้ำ

เมื่อน้ำร้อนถึงจุดหนึ่ง มันจะถึง จุดเดือด ซึ่งที่ความดันบรรยากาศปกติ (1 atm) น้ำจะเดือดที่ 100 องศาเซลเซียส ตอนนี้โมเลกุลน้ำมีพลังงานจลน์สูงมากจนสามารถ เอาชนะแรงยึดเหนี่ยว ระหว่างโมเลกุลได้ ทำให้มันกระโดดออกจากของเหลวกลายเป็น ไอน้ำ (แก๊ส) นี่คือจุดที่เราเห็นฟองอากาศผุดขึ้นมาเต็มหม้อ

Evaporation vs boiling path
Evaporation vs Boiling ภาพโดย psiberg

แต่ ฟองอากาศที่เราเห็นตอนน้ำเริ่มร้อนน่ะ ไม่ใช่ไอน้ำทั้งหมด ในช่วงแรก ฟองเล็กๆ ที่โผล่ขึ้นมาคือ อากาศที่ละลายอยู่ในน้ำ เช่น ออกซิเจนหรือไนโตรเจนที่ถูกความร้อนไล่ออกมา พอถึงจุดเดือดจริงๆ ฟองที่เราเห็นถึงจะเป็นไอน้ำของจริง และถ้าคุณเงี่ยหูฟังดีๆ จะได้ยินเสียง ปุดๆ ซึ่งเกิดจากฟองไอน้ำที่แตกตัวเมื่อลอยขึ้นถึงผิวน้ำ

BLOG BANNER 8 1
What is Evaporation and boiling ภาพโดย merchantnavydecoded

การเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นแก๊สต้องใช้พลังงานเยอะมาก เรียกว่า ความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอ (Latent Heat of Vaporization) นี่คือเหตุผลที่น้ำเดือดแล้วอุณหภูมิไม่เพิ่มขึ้นเกิน 100 องศา เพราะพลังงานทั้งหมดถูกใช้ไปในการเปลี่ยนสถานะ ไม่ใช่เพิ่มอุณหภูมิ หลักการนี้ถูกใช้ในเครื่องจักรไอน้ำสมัยก่อน หรือแม้แต่ในระบบทำความเย็นอย่างตู้เย็นและแอร์ ที่ใช้การระเหยของสารทำความเย็นเพื่อดูดความร้อนออกจากสิ่งแวดล้อม

สิ่งที่เราอาจไม่เคยสังเกต

มีเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการต้มน้ำ

ฟองอากาศก่อนเดือด – อย่างที่บอกไป ฟองแรกๆ ไม่ใช่ไอน้ำ แต่เป็นอากาศที่ละลายอยู่ในน้ำ พอร้อนมากๆ อากาศพวกนี้จะถูกขับออกมา ลองสังเกตครั้งหน้าตอนต้มน้ำดู
เสียงปุดๆ – เสียงนี้เกิดจากฟองไอน้ำที่ลอยขึ้นมาแล้วแตกตัวที่ผิวน้ำ มันเหมือนระเบิดเล็กๆ ในหม้อเลย
ความดันมีผลต่อจุดเดือด – ถ้าคุณไปต้มน้ำบนยอดเขา ที่ความดันบรรยากาศต่ำ น้ำจะเดือดที่อุณหภูมิต่ำกว่า 100 องศา เช่น ที่ยอดเขาเอเวอเรสต์ น้ำเดือดที่ประมาณ 70 องศาเท่านั้น นี่คือเหตุผลที่ต้มไข่บนเขาสูงๆ มันสุกยาก

เรื่องความดันกับจุดเดือดนี่สำคัญมากในวงการวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม เช่น ในหม้อต้มความดัน (Pressure Cooker) ที่เพิ่มความดันเพื่อให้จุดเดือดสูงขึ้น ทำให้น้ำร้อนเกิน 100 องศา ช่วยให้อาหารสุกเร็วขึ้น หรือในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน ที่ใช้ไอน้ำร้อนยิ่งยวด (Superheated Steam) ในการขับเคลื่อนกังหัน

การต้มน้ำในชีวิตจริงและวิทยาศาสตร์

การต้มน้ำอาจดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่หลักการฟิสิกส์ที่อยู่เบื้องหลังมันถูกนำไปใช้ในหลายวงการ

☝ ในครัว: การต้มน้ำช่วยให้เราปรุงอาหารได้หลากหลาย ตั้งแต่ต้มผัก ลวกเส้น ไปจนถึงนึ่งติ่มซำ
☝ ในอุตสาหกรรม: การถ่ายโอนความร้อนและการเปลี่ยนสถานะถูกใช้ในโรงไฟฟ้า โรงกลั่นน้ำมัน หรือแม้แต่การผลิตยา
☝ ในธรรมชาติ: วงจรน้ำในธรรมชาติ เช่น การระเหยของน้ำในมหาสมุทร กลายเป็นเมฆ และตกลงมาเป็นฝน ก็ใช้หลักการเดียวกับที่เราคุยกันวันนี้

ถ้าพูดถึงการต้มน้ำในอวกาศล่ะ? ในสภาวะไร้น้ำหนัก การพาความร้อนจะไม่เกิด เพราะไม่มี “บน” หรือ “ล่าง” ให้โมเลกุลลอยหรือจม นักบินอวกาศเลยต้องใช้เครื่องทำความร้อนพิเศษเพื่อต้มน้ำ และในสภาวะสุญญากาศ น้ำจะเดือดที่อุณหภูมิต่ำมากๆ เพราะความดันแทบเป็นศูนย์

ใครจะคิดว่าการต้มน้ำที่เราทำทุกวันจะมีอะไรเจ๋งๆ ซ่อนอยู่ขนาดนี้ จาก การนำความร้อน ที่เริ่มจากก้นหม้อ ไปสู่ การพาความร้อน ที่ทำให้น้ำวนเป็นระบำ สุดท้ายถึง การเดือด ที่เปลี่ยนน้ำเป็นไอน้ำ พร้อมฟองปุดๆ และเสียงดังเปาะแปะ มันไม่ใช่แค่การต้มน้ำ แต่มันคือการแสดงของฟิสิกส์ที่เชื่อมโยงไปถึงธรรมชาติ อุตสาหกรรม และแม้แต่อวกาศ


การกระเด้งของลูกบอล แค่โยนลูกบอลลงพื้นแล้วเห็นมันเด้งดึ๋งๆ กลับขึ้นมา มันดูเป็นเรื่องง่ายๆ แต่รู้มั้ยว่ามันมี ฟิสิกส์สุดเจ๋ง ซ่อนอยู่ เราจะมาดูกันแบบละเอียด

ตอนที่ 1 ลูกบอลเด้งได้ยังไง? ฟิสิกส์มาแล้ว

1024px Bouncing ball strobe edit
A bouncing ball. The motion is not quite parabolic due to air resistance. ภาพโดย MichaelMaggs

ถ้าคุณหยิบลูกบอลขึ้นมา ถือไว้สูงๆ แล้วปล่อยลงพื้น ซู่ม ลูกบอลตกลงมา กระทบพื้น แล้วเด้งกลับขึ้นมา ดึ๋งๆๆ สนุกใช่มั้ยล่ะ? แต่เบื้องหลังความสนุกนี้ มันคือการแสดงของ พลังงานจลน์ และ พลังงานศักย์ ที่ทำงานร่วมกันแบบลงตัว ตามหลักการ อนุรักษ์พลังงาน ซึ่งบอกว่า “พลังงานไม่หายไปไหน มันแค่เปลี่ยนรูป” มาดูกันทีละขั้นตอนเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ตอนที่ 2 พลังงานศักย์โน้มถ่วง – พลังงานที่รอปลดปล่อย

สมมติคุณยก ลูกบอล ขึ้นสูงจากพื้น ไม่ว่าจะเป็นลูกเทนนิส ลูกปิงปอง หรือลูกบาส ในตอนนั้น ลูกบอลมีสิ่งที่เรียกว่า พลังงานศักย์โน้มถ่วง (Gravitational Potential Energy) คิดง่ายๆ เหมือนคุณกำลัง “ชาร์จพลัง” ให้ลูกบอล ยิ่งคุณยกสูงเท่าไหร่ พลังงานศักย์ก็ยิ่งเยอะ เพราะมันขึ้นอยู่กับ ความสูง และ น้ำหนัก ของลูกบอล รวมถึง แรงโน้มถ่วงของโลก (ประมาณ 9.8 m/s²)

Potential Energy
Potential Energy ภาพโดย unifyphysics

ลองนึกถึงสปริงที่คุณกดค้างไว้ ยิ่งกดแรง มันยิ่งพร้อมดีดกลับแรงใช่มั้ย? การยกบอลสูงๆ ก็เหมือนกัน มันกำลังรอปลดปล่อยพลังงานออกมา

พลังงานศักย์โน้มถ่วงไม่ได้มีแค่ในลูกบอลนะครับ แต่มีในทุกสิ่งที่อยู่สูงจากพื้น เช่น น้ำในเขื่อนที่เก็บพลังงานศักย์ไว้เพื่อผลิตไฟฟ้า หรือแม้แต่ตัวคุณที่ยืนอยู่บนหน้าผา ในวงการวิศวกรรม หลักการนี้ถูกใช้ในการออกแบบเครื่องจักร เช่น รถไฟเหาะ ที่ใช้พลังงานศักย์จากการยกขึ้นยอดเขาเพื่อสร้างความตื่นเต้นตอนพุ่งลงมา

ตอนที่ 3 พลังงานจลน์ – ลูกบอลพุ่งแรง

Potential kinetic
Kinetic and potential energy ภาพโดย cphysics.fandom

เมื่อคุณปล่อยลูกบอลลงมา อะไรเกิดขึ้น? พลังงานศักย์ ที่สะสมไว้จะเริ่มเปลี่ยนเป็น พลังงานจลน์ (Kinetic Energy) ซึ่งเป็นพลังงานของการเคลื่อนที่ ลูกบอลจะตกลงมาเร็วขึ้นเรื่อยๆ เพราะแรงโน้มถ่วงของโลกดึงมันลงมา ยิ่งใกล้พื้น ลูกบอลยิ่งเร็ว และพลังงานจลน์ก็ยิ่งเยอะ

shutterstock 635030471
kinetic energy

ลองนึกถึงรถที่พุ่งลงจากเนินเขา ยิ่งลงมาเร็วเท่าไหร่ พลังงานจลน์ยิ่งเยอะ ลูกบอลก็เหมือนกัน พอถึงพื้น มันมีพลังงานจลน์เต็มเปี่ยมพร้อมกระแทกพื้นแล้ว

Wooden roller coaster

พลังงานจลน์ขึ้นอยู่กับ มวล และ ความเร็ว ของวัตถุ (สูตรคือ KE = ½mv²) นี่คือเหตุผลที่ลูกบาสหนักๆ ตกลงมาจะรู้สึก “หนัก” กว่าลูกปิงปอง และในชีวิตจริง พลังงานจลน์ถูกใช้ในหลายอย่าง เช่น การยิงกระสุนปืน หรือแม้แต่ลมที่พัดใบพัดกังหันลมเพื่อผลิตไฟฟ้า

ตอนที่ 4 การกระแทกพื้น – การชนแบบยืดหยุ่นและไม่ยืดหยุ่น

ตอนที่ลูกบอลกระทบพื้น มันไม่ใช่แค่ “ตึง” แล้วจบ มันมีอะไรเจ๋งๆ เกิดขึ้น นี่คือช่วงที่พลังงานจลน์ของลูกบอลถูกเปลี่ยนไปอีกครั้ง

☝ การชนแบบยืดหยุ่น (Elastic Collision) เมื่อลูกบอลกระทบพื้น มันจะ เสียรูปชั่วขณะ คิดง่ายๆ ลูกบอลถูกบีบเหมือนสปริง พลังงานจลน์บางส่วนจะเปลี่ยนเป็น พลังงานศักย์ยืดหยุ่น (Elastic Potential Energy) ที่เก็บไว้ในตัวลูกบอลและพื้นผิว จากนั้น ลูกบอลจะ “ดีด” ตัวเองกลับขึ้นมา โดยเปลี่ยนพลังงานศักย์ยืดหยุ่นกลับไปเป็นพลังงานจลน์ ทำให้มันกระเด้งขึ้น

Translational motion
elastic collision ภาพโดย A. Greg

☝ การสูญเสียพลังงาน แต่ในโลกแห่งความจริง ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ การกระเด้งของลูกบอลไม่ใช่การชนแบบยืดหยุ่น 100% มันจะมีพลังงานบางส่วน สูญเสีย ไปในรูปของ ความร้อน (จากการเสียดสีภายในวัสดุ) และ เสียง (เสียง “ตึง” ที่เราได้ยิน) นี่คือเหตุผลที่ลูกบอลกระเด้งขึ้นได้ ไม่สูงเท่าความสูงเริ่มต้น และทุกครั้งที่เด้ง มันจะเสียพลังงานมากขึ้น จนสุดท้ายหยุดนิ่ง

ballbounce0011
การกระเด้งของลูกบอลทุกครั้งที่เด้ง มันจะเสียพลังงานมากขึ้น

การชนแบบยืดหยุ่นและไม่ยืดหยุ่นเป็นแนวคิดสำคัญในฟิสิกส์ การชนแบบยืดหยุ่นสมบูรณ์ (ที่ไม่เสียพลังงานเลย) มีแค่ในทฤษฎี เช่น การชนของอนุภาคในอุดมคติ ส่วนในชีวิตจริง การชนส่วนใหญ่เป็นแบบไม่ยืดหยุ่น เช่น รถชนกัน ซึ่งพลังงานจลน์จะสูญเสียไปเป็นความเสียหายของตัวรถ ความร้อน และเสียง หลักการนี้ถูกใช้ในการออกแบบถุงลมนิรภัยในรถยนต์ เพื่อลดพลังงานจลน์ที่ส่งถึงผู้โดยสาร

สิ่งที่เราอาจไม่เคยสังเกต

มีเกร็ดเจ๋งๆ เกี่ยวกับการกระเด้งของลูกบอลที่คุณอาจไม่เคยคิดถึง

☝ วัสดุของลูกบอลมีผลต่อการเด้ง ลูกบอลที่ทำจากยาง (เช่น ลูกเทนนิส) จะเด้งดีกว่าลูกบอลที่ทำจากวัสดุแข็งหรือนิ่มเกินไป (เช่น ลูกบอลดินน้ำมัน) เพราะยางมี ความยืดหยุ่น (elasticity) สูง ช่วยคืนรูปและเก็บพลังงานศักย์ยืดหยุ่นได้ดีกว่า

☝ พื้นผิวก็สำคัญ ถ้าคุณโยนลูกบอลลงบนพื้นปูน มันจะเด้งดีกว่าพื้นไม้หรือพรม เพราะพื้นปูนแข็งและดูดซับพลังงานน้อยกว่า พรมจะนิ่มและดูดซับพลังงาน ทำให้ลูกบอลเด้งได้น้อยลง

☝ ความสูงที่ลดลง ลองสังเกตดูว่า ลูกบอลจะเด้งต่ำลงเรื่อยๆ ในแต่ละครั้ง เพราะพลังงานสูญเสียไปเรื่อยๆ จนในที่สุดมันหยุดเด้ง

เรื่องวัสดุและพื้นผิวนี้ถูกใช้ในกีฬาด้วย เช่น ในกีฬาเทนนิส สนามดิน (Clay Court) ทำให้ลูกบอลเด้งช้ากว่าและต่ำกว่าสนามหญ้า (Grass Court) เพราะพื้นดินดูดซับพลังงานมากกว่า หรือในกีฬาบาสเกตบอล ลูกบาสถูกออกแบบให้ยืดหยุ่นพอดี เพื่อให้เด้งได้สม่ำเสมอบนพื้นไม้ในสนาม

การกระเด้งของลูกบอลในชีวิตจริงและวิทยาศาสตร์

การกระเด้งของลูกบอลอาจดูเป็นเรื่องเล็กๆ แต่หลักการฟิสิกส์ที่อยู่เบื้องหลังมันถูกนำไปใช้ในหลายด้าน

☝ ในกีฬา การออกแบบลูกบอลในกีฬาต่างๆ เช่น ลูกกอล์ฟ ลูกเทนนิส หรือลูกฟุตบอล ต้องคำนึงถึงความยืดหยุ่นและการถ่ายโอนพลังงาน เพื่อให้ได้การเด้งที่เหมาะสม

☝ ในวิศวกรรม หลักการพลังงานศักย์และจลน์ถูกใช้ในการออกแบบเครื่องจักร เช่น สปริงในระบบกันสะเทือนของรถยนต์ หรือการออกแบบเครื่องบินที่ต้องคำนวณพลังงานจลน์ตอนลงจอด

☝ ในอวกาศ ในสภาวะไร้น้ำหนัก ลูกบอลจะไม่ “ตก” เพราะไม่มีแรงโน้มถ่วง แต่ถ้ามันกระแทกผนังยานอวกาศ มันจะเด้งไปเรื่อยๆ เพราะไม่มีแรงเสียดทานจากอากาศมาทำให้หยุด

คุณรู้มั้ยว่าในอดีต นักวิทยาศาสตร์ใช้หลักการอนุรักษ์พลังงานเพื่อพัฒนาเครื่องจักร เช่น เครื่องจักรไอน้ำ หรือ เครื่องยนต์สันดาป ซึ่งอาศัยการเปลี่ยนพลังงานศักย์ (เช่น จากเชื้อเพลิง) เป็นพลังงานจลน์เพื่อขับเคลื่อนเครื่องจักร และในวงการวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ การศึกษา “การชน” ถูกใช้ในการทดลองอนุภาค เช่น ที่เครื่องเร่งอนุภาค CERN เพื่อค้นหาความลับของจักรวาล

ใครจะคิดว่าการโยนลูกบอลเด้งดึ๋งๆ จะมีอะไรเจ๋งๆ ซ่อนอยู่ขนาดนี้ จาก พลังงานศักย์โน้มถ่วง ที่ชาร์จไว้ตอนยกบอลสูงๆ ไปสู่ พลังงานจลน์ ที่พุ่งลงมา แล้วกลายเป็น การชนแบบยืดหยุ่น ที่ทำให้ลูกบอลเด้งกลับขึ้น แถมยังมีเรื่องของการสูญเสียพลังงานเป็นความร้อนและเสียงที่ทำให้มันเด้งต่ำลงเรื่อยๆ หลักการนี้ไม่ใช่แค่ในลูกบอล แต่มันอยู่ในกีฬา วิศวกรรม และแม้แต่อวกาศ


พูดถึงเรื่องที่ทุกคนทำทุกวันโดยไม่รู้ตัว นั่นคือ การเดิน การเดินที่ดูเหมือนจะง่ายๆ แค่ก้าวไปข้างหน้า แต่มันเต็มไปด้วย ฟิสิกส์สุดเจ๋ง ที่ทำให้เราเคลื่อนที่ได้โดยไม่ล้ม เราจะมาคุยเรื่อง แรงเสียดทาน และ กฎข้อที่สามของนิวตัน แบบละเอียด ไปกันเลย🚶‍♂️

ทำไมเราถึงเดินได้? ฟิสิกส์มาแล้ว

efthimiou fig.5
The Physics of Walking.

ถ้าคุณกำลังเดินไปซื้อกาแฟ หรือเดินเล่นในสวน ทุกก้าวที่คุณก้าว มันไม่ใช่แค่การยกเท้าแล้ววางลง มันคือการทำงานของ แรงในฟิสิกส์ ที่ทำให้คุณเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้แบบไม่ล้ม สองตัวเอกของเรื่องนี้คือ แรงเสียดทาน (Friction) และ กฎการเคลื่อนที่ข้อที่สามของนิวตัน ที่บอกว่า “ทุกแรงกิริยา ย่อมมีแรงปฏิกิริยาขนาดเท่ากัน ในทิศทางตรงกันข้าม” ฟังดูซับซ้อน แต่เดี๋ยวเราจะทำให้มันสนุกและเข้าใจง่ายสุดๆ

แรงเสียดทาน – ฮีโร่ที่ทำให้เราไม่ลื่นล้ม

2865788 orig
Friction Physics Walking

มาเริ่มที่ แรงเสียดทาน กันก่อน เพราะถ้าไม่มีมัน คุณจะเดินไม่ได้เลย ลองนึกถึงตอนคุณก้าวเดิน คุณยกเท้าขึ้น แล้วผลักเท้าลงไปด้านหลังเล็กน้อยเพื่อก้าวต่อไป สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เท้าของคุณ ออกแรงผลักพื้นไปด้านหลัง และพื้นก็ตอบกลับด้วย แรงเสียดทาน ที่ผลักเท้าคุณไปข้างหน้า นี่คือแรงที่ทำให้คุณเคลื่อนที่ได้

ถ้าไม่มีแรงเสียดทานล่ะ? ลองนึกถึงการเดินบน น้ำแข็ง หรือพื้นเปียกลื่นๆ คุณจะรู้สึกเหมือนเท้าไถลไปมา ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ เพราะไม่มีแรงเสียดทานมาช่วยยึดเท้าไว้ แรงเสียดทานมันเหมือน เพื่อนซี้ ที่คอยยึดคุณไว้ไม่ให้ล้มนั่นเอง

แรงเสียดทานไม่ได้มีแค่ตอนเดินนะครับ มันมีอยู่ในทุกการเคลื่อนที่ เช่น ล้อรถยนต์ที่ยึดเกาะถนน หรือแม้แต่ตอนคุณเขียนปากกา ถ้าไม่มีแรงเสียดทาน หมึกจะไม่ติดกระดาษ และในวงการวิศวกรรม เขาจะออกแบบพื้นผิวให้เหมาะกับงาน เช่น ดอกยางรถยนต์ที่เพิ่มแรงเสียดทานเพื่อป้องกันการลื่นไถลบนถนนเปียก

กฎข้อที่สามของนิวตัน – แรงกิริยา vs. แรงปฏิกิริยา

Figure 04 04 01
Newton’s Third Law

ทีนี้มาถึง กฎข้อที่สามของนิวตัน ซึ่งเป็นหนึ่งในกฎสุดคลาสสิกของฟิสิกส์ มันบอกว่า “ทุกครั้งที่คุณออกแรง (แรงกิริยา) จะมีแรงเท่ากันในทิศทางตรงกันข้าม (แรงปฏิกิริยา) มากระทำกลับ” ในการเดิน คุณผลักพื้นไปด้านหลัง (แรงกิริยา) และพื้นก็ผลักเท้าคุณไปข้างหน้า (แรงปฏิกิริยา) ทำให้คุณเคลื่อนที่ได้

ลองนึกถึงตอนคุณพายเรือ คุณผลักน้ำไปด้านหลังด้วยไม้พาย แล้วเรือก็เคลื่อนไปข้างหน้า นี่คือตัวอย่างของกฎข้อที่สาม หรือแม้แต่จรวดที่พุ่งขึ้นฟ้า มันพ่นก๊าซลงด้านล่าง (แรงกิริยา) และตัวจรวดก็ถูกผลักให้พุ่งขึ้น (แรงปฏิกิริยา)

กฎข้อที่สามของนิวตันถูกใช้ในทุกอย่างรอบตัว เช่น การออกแบบเครื่องบินเจ็ต หรือแม้แต่ตอนคุณกระโดดจากพื้น พื้นจะผลักคุณขึ้นไป! ในวงการกีฬา นักกีฬากระโดดสูงหรือกระโดดไกลก็ใช้หลักการนี้เพื่อผลักพื้นให้แรงที่สุด เพื่อให้ร่างกายพุ่งไปได้ไกล

แรงเสียดทานแบบเจาะลึก – สถิต vs. จลน์

แรงเสียดทานมีสองประเภทที่สำคัญในการเดิน

☝ แรงเสียดทานสถิต (Static Friction) นี่คือแรงที่ช่วยให้คุณเริ่มก้าวได้ เมื่อเท้าคุณสัมผัสพื้นและผลักไปด้านหลัง แรงเสียดทานสถิตจะต้านการไถลของเท้า ทำให้คุณสามารถออกแรงผลักพื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าไม่มีแรงนี้ คุณจะไถลไปเลยตั้งแต่ก้าวแรก ลองนึกถึงการเดินบนพื้นทรายเปียกที่เท้าจิกทรายได้ดี นั่นคือแรงเสียดทานสถิตที่ช่วยคุณ

☝ แรงเสียดทานจลน์ (Kinetic Friction) ถ้าคุณเริ่มลื่น (เช่น เดินบนพื้นน้ำแข็ง) แรงเสียดทานที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นแรงเสียดทานจลน์ ซึ่งมักจะมีค่าน้อยกว่าแรงเสียดทานสถิต นี่คือเหตุผลที่เมื่อคุณลื่นแล้ว มันยากที่จะหยุดตัวเอง เพราะแรงเสียดทานจลน์มันช่วยได้น้อยกว่า

แรงเสียดทานทั้งสองแบบนี้ถูกใช้ในงานวิศวกรรม เช่น การออกแบบเบรกในรถยนต์ที่ใช้แรงเสียดทานจลน์เพื่อหยุดล้อ หรือในรองเท้ากีฬาที่ออกแบบพื้นให้มีแรงเสียดทานสถิตสูง เพื่อช่วยนักกีฬายึดเกาะพื้นได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในกีฬาที่ต้องเปลี่ยนทิศทางเร็วๆ อย่างฟุตบอลหรือบาสเกตบอล

จุดศูนย์ถ่วง – การเดินคือการล้มที่ควบคุมได้

infographic
Why Understanding Your Center of Gravity is Key to Fall Prevention ภาพโดย mylifeglider

เคยสังเกตมั้ยว่าเวลาเดิน คุณไม่ได้แค่ยกเท้าแล้ววางลง มันเหมือน การล้มไปข้างหน้าอย่างควบคุมได้ นี่เพราะ จุดศูนย์ถ่วง (Center of Gravity) ของร่างกายคุณเคลื่อนที่ตลอดเวลา เมื่อคุณก้าว คุณจะเอียงตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ทำให้จุดศูนย์ถ่วงเคลื่อนไปข้างหน้า ร่างกายจะเสียสมดุลชั่วคราว แล้วคุณยกเท้าอีกข้างมาวางเพื่อรับน้ำหนักและรักษาสมดุลไว้

ลองนึกถึงนกเพนกวินที่เดินโยกเยก หรือเด็กน้อยที่หัดเดิน เขาจะต้องฝึกปรับจุดศูนย์ถ่วงให้สมดุลตลอดเวลา การเดินของเราก็เหมือนการเต้นระบำที่ต้องใช้สมดุลอย่างลงตัว

จุดศูนย์ถ่วงเป็นแนวคิดสำคัญในหลายด้าน เช่น ในการออกแบบตึกระฟ้า วิศวกรต้องคำนวณจุดศูนย์ถ่วงเพื่อให้ตึกไม่ล้มเมื่อเจอลมแรง หรือในกีฬายิมนาสติก นักกีฬาจะฝึกควบคุมจุดศูนย์ถ่วงเพื่อทำท่าที่ยากๆ บนคานทรงตัว

แรงปฏิกิริยาปกติและการปรับตัวของพื้นผิว

Understanding the Normal Force: Definition, Causes, and Applications ภาพโดย The Practical School

นอกจากแรงเสียดทานแล้ว ยังมี แรงปฏิกิริยาปกติ (Normal Force) ที่พื้นกระทำต่อเท้าคุณในทิศทางตั้งฉากกับพื้น แรงนี้มีขนาดเท่ากับน้ำหนักของคุณเมื่อยืนนิ่ง และมันสำคัญมากเพราะมันช่วย “รับน้ำหนัก” คุณไว้ ไม่ให้คุณจมลงไปในพื้น ลองนึกถึงตอนคุณยืนบนทรายเปียก ถ้าไม่มีแรงปฏิกิริยาปกติ คุณอาจจมลงไปได้

อีกอย่างที่น่าสนใจคือ พื้นผิวและรองเท้า รองเท้าที่เราใส่ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับพื้นผิว เช่น รองเท้าวิ่งที่มีดอกยางช่วยเพิ่มแรงเสียดทานบนพื้นสนาม หรือรองเท้าแตะที่พื้นเรียบ เพราะไม่ต้องการแรงเสียดทานมากนักสำหรับการเดินในบ้าน

การออกแบบพื้นผิวและรองเท้ามีบทบาทในหลายวงการ เช่น ในกีฬาแข่งรถ สนามแข่งจะถูกออกแบบให้มีแรงเสียดทานที่เหมาะสมเพื่อให้รถยึดเกาะได้ดี หรือในวงการหุ่นยนต์ นักวิศวกรต้องคำนวณแรงเสียดทานและแรงปฏิกิริยาเพื่อให้หุ่นยนต์เดินได้เหมือนมนุษย์

สิ่งที่เราอาจไม่เคยสังเกต

มีเกร็ดเจ๋งๆ เกี่ยวกับการเดินที่คุณอาจมองข้าม

พื้นผิวเปลี่ยนการเดิน ลองเดินบนพื้นทราย พื้นหญ้า หรือพื้นปูน คุณจะรู้สึกว่าการเดินเปลี่ยนไป เพราะแรงเสียดทานและการยึดเกาะต่างกัน

รองเท้ามีผล รองเท้าส้นสูงทำให้จุดศูนย์ถ่วงเปลี่ยน คุณต้องใช้กล้ามเนื้อมากขึ้นเพื่อรักษาสมดุล นี่คือเหตุผลที่เดินนานๆ แล้วเมื่อย

การเดินในอวกาศ ในสภาวะไร้น้ำหนัก นักบินอวกาศต้องใช้กำแพงหรือราวจับเพื่อ “ผลัก” ตัวเองไปข้างหน้า เพราะไม่มีแรงโน้มถ่วงหรือแรงเสียดทานให้ช่วย

การเดินในสภาวะพิเศษ เช่น บนดวงจันทร์ ที่แรงโน้มถ่วงน้อยกว่าโลก 6 เท่า ทำให้นักบินอวกาศต้องกระโดดแทนการเดินแบบปกติ หรือในวงการแพทย์ หลักการของจุดศูนย์ถ่วงและแรงเสียดทานถูกใช้ในการออกแบบขาเทียม เพื่อช่วยให้ผู้พิการเดินได้อย่างเป็นธรรมชาติ

การเดินในชีวิตจริงและวิทยาศาสตร์

การเดินอาจดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่หลักการฟิสิกส์ที่อยู่เบื้องหลังมันถูกนำไปใช้ในหลายด้าน

☝ ในกีฬา: นักวิ่งต้องใช้แรงเสียดทานให้เป็นประโยชน์ รองเท้าสตั๊ดจะช่วยยึดเกาะพื้นเพื่อผลักตัวได้แรงขึ้น
☝ ในวิศวกรรม: การออกแบบยานยนต์หรือหุ่นยนต์เดินได้ ต้องคำนวณแรงเสียดทานและแรงปฏิกิริยาให้เหมาะสม
☝ ในธรรมชาติ: สัตว์อย่างจิ้งจกหรือแมลงที่เดินบนกำแพงได้ ใช้หลักการของแรงเสียดทานและแรงยึดเกาะพิเศษจากโครงสร้างของเท้า

ในอนาคต การศึกษาเรื่องการเดินอาจช่วยพัฒนาหุ่นยนต์ที่เดินได้เหมือนมนุษย์ หรือช่วยออกแบบเมืองที่เหมาะกับการเดิน เช่น ทางเท้าที่ลดแรงเสียดทานในวันที่ฝนตก เพื่อป้องกันการลื่น

ใครจะคิดว่าการเดินที่เราทำทุกวันจะมีอะไรเจ๋งๆ ซ่อนอยู่ขนาดนี้ จาก แรงเสียดทาน ที่ช่วยยึดเท้าเราไม่ให้ลื่น ไปถึง กฎข้อที่สามของนิวตัน ที่ผลักเราไปข้างหน้า และ จุดศูนย์ถ่วง ที่ทำให้เราเดินได้แบบล้มอย่างมีสไตล์ หลักการนี้ไม่ใช่แค่ในการเดิน แต่ยังอยู่ในกีฬา วิศวกรรม และแม้แต่อวกาศ


พูดถึงสิ่งที่เราทำทุกวันโดยไม่รู้ตัว นั่นคือ การมองเห็น การที่เรามองเห็นโลกสวยๆ รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ท้องฟ้า หรือหน้าจอโทรศัพท์ มันเกิดจาก แสง และ หลักการฟิสิกส์ สุดล้ำที่ซ่อนอยู่ เราจะมาคุยเรื่อง การสะท้อนแสง, การหักเหของแสง, และเกร็ดเจ๋งๆ อีกเพียบ

การมองเห็นคืออะไร? ฟิสิกส์ของแสงมาแล้ว

ถ้า คุณตื่นเช้ามา มองเห็นแสงแดดส่องผ่านหน้าต่าง หรือเห็นกาแฟในแก้วโปรดของคุณ การมองเห็นมันดูง่ายๆ แต่จริงๆ แล้วมันคือการแสดงของ แสง ที่ทำงานร่วมกับดวงตาและสมองของเรา เบื้องหลังการมองเห็นมีสองหลักการใหญ่ๆ คือ การสะท้อนแสง และ การหักเหของแสง ที่ทำให้เรามองเห็นโลกนี้ได้ชัดเจน มาดูกันทีละขั้นตอนว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

การสะท้อนแสง – โลกนี้สว่างเพราะแสงเด้ง

Reflection Of Light
Reflection Of Light ภาพโดย unifyphysics

เริ่มจาก การสะท้อนแสง (Reflection) กันก่อนเลยครับ แสงจากแหล่งกำเนิด เช่น ดวงอาทิตย์, หลอดไฟ, หรือแม้แต่หน้าจอสมาร์ทโฟน จะเดินทางไปกระทบวัตถุรอบตัวเรา เช่น โต๊ะ เก้าอี้ หรือหน้าเพื่อนคุณ เมื่อแสงกระทบวัตถุ มันจะ สะท้อน กลับมาเข้าสู่ดวงตาของเรา และนั่นคือเหตุผลที่เรามองเห็นสิ่งต่างๆ ได้

ลองนึกถึงกระจกเงา คุณเห็นหน้าตัวเองเพราะแสงจากใบหน้าคุณสะท้อนจากกระจกกลับเข้าตาแบบเป๊ะๆ ตามกฎการสะท้อนที่บอกว่า “มุมตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อน” แต่ถ้าเป็นพื้นผิวขรุขระ เช่น ผนังบ้าน แสงจะสะท้อนกระจายไปทุกทิศทาง ทำให้เราเห็นวัตถุนั้นในมุมต่างๆ ไม่ใช่แค่ภาพสะท้อนชัดๆ แบบกระจก

การสะท้อนแสงถูกใช้ในหลายอย่าง เช่น ใน กล้องโทรทรรศน์ ที่ใช้กระจกสะท้อนแสงจากดวงดาว หรือใน ไฟรถยนต์ ที่มีแผ่นสะท้อนแสงเพื่อให้แสงพุ่งไปข้างหน้าได้ไกลขึ้น และในชีวิตประจำวัน ถ้าคุณเคยเห็นป้ายจราจรเรืองแสงตอนกลางคืน นั่นก็เพราะมันถูกออกแบบให้สะท้อนแสงจากไฟหน้ารถได้ดีเยี่ยม

การหักเหของแสง – แสงเบี่ยงตัวเปลี่ยนโลก

Light refraction through two substances shwoing a bed towards the normal
What is Refraction? ภาพโดย science-sparks

ต่อมาเป็น การหักเหของแสง (Refraction) ซึ่งเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์สุดเจ๋งของแสง เมื่อแสงเดินทางจากตัวกลางหนึ่งไปอีกตัวกลางหนึ่ง เช่น จากอากาศเข้าไปในน้ำ หรือจากอากาศผ่านเลนส์แว่นตา ความเร็วของแสงจะเปลี่ยนไป ทำให้แสง เบี่ยงทิศทาง หรือ “หักเห” นี่คือเหตุผลที่เวลาเรามองดินสอในแก้วน้ำ มันดูเหมือนหักงอ

การหักเหของแสงเป็นหัวใจของเครื่องมือหลายอย่าง เช่น

→ แว่นตา ที่ช่วยคนสายตาสั้นหรือยาวมองเห็นชัดขึ้น โดยเลนส์จะหักเหแสงให้ไปโฟกัสที่จอตาได้พอดี
→ กล้องจุลทรรศน์ และ กล้องโทรทรรศน์ ที่ใช้เลนส์หลายชั้นเพื่อหักเหแสงและขยายภาพให้เราเห็นสิ่งที่เล็กจิ๋วหรือไกลแสนไกล
→ รุ้งกินน้ำ ที่เกิดจากแสงแดดหักเหผ่านหยดน้ำในอากาศ แล้วแยกเป็นสีต่างๆ สวยงาม

การหักเหของแสงถูกใช้ในเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ไฟเบอร์ออปติก ที่ส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง โดยแสงจะหักเหและสะท้อนภายในเส้นใยแก้วอย่างต่อเนื่อง หรือในวงการแพทย์ การผ่าตัดตาด้วยเลเซอร์ (LASIK) ก็ใช้หลักการควบคุมแสงเพื่อปรับรูปร่างกระจกตาให้มองเห็นชัดขึ้น

สเปกตรัมของแสง – โลกนี้มีสีสันเพราะแสง

Visible Light Updated 1
Visible Light Spectrum ภาพโดย byjus

เคยสงสัยมั้ยว่า ทำไมใบไม้เป็นสีเขียว หรือท้องฟ้าเป็นสีฟ้า? นี่คือเรื่องของ สเปกตรัมของแสง (Light Spectrum) ครับ แสงที่เรามองเห็นเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ของ สเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งรวมถึงรังสี UV, อินฟราเรด, คลื่นวิทยุ และอื่นๆ แสงที่เราเห็น (แสงสีขาว) จริงๆ แล้วประกอบด้วย แสงหลายสี รวมกัน เช่น แดง ส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน คราม ม่วง (จำได้จากรุ้งกินน้ำ)

เมื่อแสงกระทบวัตถุ วัตถุจะ ดูดซับบางสี และ สะท้อนบางสี ออกมา เช่น ใบไม้ดูดซับทุกสี ยกเว้นสีเขียวที่สะท้อนออกมา ทำให้เราเห็นใบไม้เป็นสีเขียว นี่คือเหตุผลที่สีของสิ่งต่างๆ รอบตัวเรามีความหลากหลาย

สเปกตรัมของแสงถูกใช้ในงานวิทยาศาสตร์ เช่น การวิเคราะห์แสงจากดวงดาวเพื่อดูว่าดาวนั้นประกอบด้วยธาตุอะไร หรือในวงการศิลปะ การผสมสีในจอทีวีหรือสมาร์ทโฟนที่ใช้แสงสีแดง เขียว น้ำเงิน (RGB) เพื่อสร้างสีสันนับล้านสี

การกระเจิงของแสง – ทำไมท้องฟ้าถึงเป็นสีฟ้า?

What Is Scattering Of Light
Scattering of light ภาพโดย byjus

เคยมองท้องฟ้าแล้วสงสัยมั้ยว่า ทำไมมันเป็นสีฟ้า? หรือทำไมพระอาทิตย์ตอนเช้า-เย็นถึงเป็นสีแดงส้ม? นี่คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า การกระเจิงของแสง (Light Scattering)

แสงแดดประกอบด้วยทุกสี เมื่อแสงเดินทางผ่านชั้นบรรยากาศ โมเลกุลในอากาศ (เช่น ไนโตรเจนและออกซิเจน) จะกระเจิงแสงที่มีความยาวคลื่นสั้น เช่น สีน้ำเงินและม่วง ได้ดีกว่าแสงสีอื่น นี่คือเหตุผลที่ท้องฟ้าดูเป็นสีฟ้า (ส่วนสีม่วงถูกตาของเรารับรู้ได้น้อยลง เลยเห็นเป็นสีน้ำเงินมากกว่า)

แต่ตอนพระอาทิตย์ขึ้นหรือตก แสงต้องเดินทางผ่านชั้นบรรยากาศที่หนาแน่นกว่า ทำให้แสงสีน้ำเงินถูกกระเจิงออกไปเกือบหมด เหลือแสงสีแดงและส้มที่เดินทางมาถึงตาเรา นี่คือที่มาของท้องฟ้าสีส้มสุดโรแมนติกตอนเย็น

การกระเจิงของแสงถูกใช้ในงานหลายอย่าง เช่น การถ่ายภาพที่ใช้แสงยามเย็นเพื่อให้ได้โทนสีอบอุ่น หรือในวิทยาศาสตร์ การศึกษาแสงที่กระเจิงในชั้นบรรยากาศช่วยนักวิทยาศาสตร์เข้าใจสภาพอากาศและมลพิษในอากาศ

การปรับโฟกัสของดวงตา – เลนส์สุดล้ำในร่างกาย

5 word 1
What Is Eye Accommodation? ภาพโดย accuvision

ดวงตาของเราเหมือนกล้องถ่ายรูปสุดไฮเทค มันมี เลนส์ตา ที่สามารถปรับรูปร่างได้เพื่อเปลี่ยนระยะโฟกัส เรียกว่า accommodation ทำให้เรามองเห็นทั้งวัตถุที่อยู่ใกล้ (เช่น หน้าจอโทรศัพท์) และไกล (เช่น ภูเขา) ได้ชัดเจน นี่คือการใช้ การหักเหของแสง ในร่างกายเราเอง

เลนส์ตาจะโค้งมากขึ้นเมื่อมองใกล้ เพื่อหักเหแสงให้โฟกัสที่จอตา (retina) และโค้งน้อยลงเมื่อมองไกล กระบวนการนี้ทำงานเร็วมากจนเราไม่รู้ตัวเลย

ถ้าเลนส์ตาทำงานผิดปกติ เช่น ในคนสายตาสั้น (แสงโฟกัสก่อนถึงจอตา) หรือสายตายาว (แสงโฟกัสหลังจอตา) แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์จะช่วยปรับการหักเหของแสงให้ลงตัว และในวงการแพทย์ เทคโนโลยีอย่างเลเซอร์ผ่าตัดตาจะช่วยปรับรูปร่างเลนส์ตาให้มองเห็นชัดขึ้น

ภาพลวงตา – เมื่อสมองหลอกเรา

NdWF7IE
My favorite type of physics. Optical illusions – Physics post – Imgur

เคยเห็นภาพลวงตา (Optical Illusions) ที่ทำให้เรางงมั้ย? เช่น เส้นที่ดูเหมือนยาวไม่เท่ากันทั้งที่จริงๆ เท่ากันเป๊ะ นี่เกิดจาก สมอง ของเราที่ตีความข้อมูลจากแสงที่ได้รับผิดพลาดไป สมองจะพยายาม “เติมเต็ม” หรือ “แก้ไข” สิ่งที่ขาดหาย ทำให้เราเห็นอะไรที่ไม่เป็นจริง

ตัวอย่างเช่น ภาพลวงตาที่ทำให้วงกลมดูเหมือนหมุน ทั้งที่มันนิ่ง หรือภาพที่ดูเหมือนมีสองสี ทั้งที่จริงๆ เป็นสีเดียวกัน นี่คือการทำงานร่วมกันของแสง ดวงตา และสมองที่ทำให้เกิดความมหัศจรรย์ (และความงง!) แบบนี้

ภาพลวงตาถูกใช้ในงานศิลปะ การออกแบบ และแม้แต่การทดลองทางจิตวิทยาเพื่อศึกษา การรับรู้ของมนุษย์ หรือในวงการโฆษณา ที่ใช้ภาพลวงตาเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ชม

สิ่งที่เราอาจไม่เคยสังเกต

มีเกร็ดเจ๋งๆ เกี่ยวกับการมองเห็นที่คุณอาจมองข้าม

☝ สีเปลี่ยนตามแสง: สีของเสื้อผ้าที่คุณใส่อาจดูต่างกันในแสงแดดหรือแสงไฟ เพราะแสงแต่ละแบบมีสเปกตรัมต่างกัน
☝ ตาของสัตว์: สัตว์บางชนิดมองเห็นแสงที่เราไม่เห็น เช่น แมลงที่เห็นรังสี UV หรืองูที่เห็นรังสีอินฟราเรดจากความร้อน
☝ แสงในน้ำ: ใต้น้ำ แสงสีแดงจะหายไปก่อนเพราะถูกดูดซับ ทำให้โลกใต้น้ำดูเป็นสีน้ำเงินเขียว

การมองเห็นของสัตว์ถูกนำไปประยุกต์ในเทคโนโลยี เช่น กล้องถ่ายภาพความร้อนที่ใช้ในกองทัพ หรือในวงการดาราศาสตร์ กล้องที่มองรังสี UV หรืออินฟราเรดช่วยนักวิทยาศาสตร์ศึกษาดวงดาวที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น

การมองเห็นในชีวิตจริงและวิทยาศาสตร์

การมองเห็นและหลักการของแสงถูกนำไปใช้ในหลายด้าน

☝ ในชีวิตประจำวัน: แว่นตา กล้องถ่ายรูป หรือหน้าจอสมาร์ทโฟน ล้วนใช้การสะท้อนและหักเหของแสง
☝ ในวิทยาศาสตร์: กล้องโทรทรรศน์อวกาศ เช่น Hubble หรือ James Webb ใช้เลนส์และกระจกเพื่อจับภาพจักรวาล
☝ ในศิลปะ: ช่างภาพและศิลปินใช้แสงและเงาเพื่อสร้างผลงานที่สวยงามและน่าประทับใจ

ในอนาคต เทคโนโลยีเกี่ยวกับแสงอาจนำไปสู่การพัฒนา เลนส์ตาอัจฉริยะ ที่ปรับโฟกัสอัตโนมัติ หรือ แว่น VR/AR ที่ทำให้เราเห็นโลกเสมือนจริงได้สมจริงยิ่งขึ้น

ใครจะคิดว่าการมองเห็นที่เราทำทุกวันจะมีอะไรเจ๋งๆ ซ่อนอยู่ขนาดนี้ จาก การสะท้อนแสง ที่ทำให้เราเห็นวัตถุ ไปถึง การหักเหของแสง ที่ทำให้แว่นตาและกล้องทำงานได้ และยังมี สเปกตรัมแสง ที่ให้สีสันกับโลก หรือ การกระเจิง ที่ทำให้ท้องฟ้าสวยงาม การมองเห็นไม่ใช่แค่เรื่องของดวงตา แต่เป็นการทำงานของแสง ดวงตา และสมองที่รวมกันเป็นความมหัศจรรย์


พูดถึงสิ่งที่อยู่รอบตัวเราในทุกๆ วัน นั่นคือ เครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นทีวี ตู้เย็น พัดลม หรือแม้แต่เครื่องทำน้ำอุ่น สิ่งเหล่านี้ทำงานได้เพราะ วงจรไฟฟ้า และ พลังงาน ที่ซ่อนอยู่ในหลักการฟิสิกส์สุดเจ๋ง วันนี้เราจะมาแกะกล่องเรื่อง กระแสไฟฟ้า, ความต้านทาน, แรงดันไฟฟ้า, และ กฎของโอห์ม แบบละเอียด

เครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานยังไง? ฟิสิกส์ของไฟฟ้ามาแล้ว

ha
Home Appliances – Nagase Thailand

เมื่อคุณเสียบปลั๊กพัดลม เปิดสวิตช์ แล้วใบพัดเริ่มหมุน หรือเปิดทีวีแล้วเห็นภาพสีสันสวยงาม สิ่งที่ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ทำงานได้คือ ไฟฟ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของ อิเล็กตรอน ในวงจรไฟฟ้า เราจะมาดูกันว่าเบื้องหลังเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เราใช้ทุกวัน มีอะไรซ่อนอยู่บ้าง และมันทำงานยังไงให้ชีวิตเราสะดวกสบายขนาดนี้

ตัวเอกคือ

→ กระแสไฟฟ้า (Electric Current) – การเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน
→ ความต้านทานไฟฟ้า (Electrical Resistance) – ตัวขัดขวางการไหลของไฟ
→ แรงดันไฟฟ้า (Voltage) – ตัวผลักดันให้อิเล็กตรอนวิ่ง
→ กฎของโอห์ม (V=IR) – สูตรสุดคลาสสิกที่เชื่อมทั้งสามอย่างนี้เข้าด้วยกัน

กระแสไฟฟ้า – อิเล็กตรอนวิ่งวุ่นในวงจร

Electric Charge 2
Electric Current Definition ภาพโดย geeksforgeeks

เริ่มจาก กระแสไฟฟ้า (Electric Current) กันก่อนเลยครับ มันคือการที่ อิเล็กตรอน (อนุภาคเล็กๆ ที่มีประจุลบ) วิ่งไปตาม ตัวนำไฟฟ้า เช่น สายทองแดงในปลั๊กไฟหรือวงจรในเครื่องใช้ไฟฟ้า ลองนึกถึงน้ำที่ไหลในท่อ อิเล็กตรอนก็เหมือนน้ำที่ไหลในสายไฟนี่แหละ

กระแสไฟฟ้าถูกวัดเป็น แอมป์ (Ampere) และมันคือตัวที่ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานได้ เช่น เปิดหลอดไฟให้สว่าง หรือทำให้มอเตอร์ในพัดลมหมุน

กระแสไฟฟ้ามีสองแบบคือ กระแสตรง (DC) เช่น ในแบตเตอรี่ที่อิเล็กตรอนไหลไปทางเดียว และ กระแสสลับ (AC) เช่น ไฟบ้านที่อิเล็กตรอนสั่นไปมาด้วยความถี่ (ในไทยคือ 50 Hz) ซึ่งกระแสสลับถูกใช้ในบ้านเพราะส่งไฟได้ไกลและสูญเสียพลังงานน้อยกว่า! และในวงการเทคโนโลยี กระแสไฟฟ้าถูกใช้ในทุกอย่าง ตั้งแต่ชิปในคอมพิวเตอร์ไปจนถึงระบบไฟในรถยนต์ไฟฟ้า

ความต้านทานไฟฟ้า – ตัวขัดขวางที่จำเป็น

Electrical Resistor Symbol
What is Resistivity ภาพโดย geeksforgeeks

ต่อมาเป็น ความต้านทานไฟฟ้า (Electrical Resistance) ซึ่งเป็นเหมือน “อุปสรรค” ที่ขัดขวางการไหลของอิเล็กตรอน วัสดุแต่ละชนิดมีความต้านทานต่างกัน เช่น

→ ตัวนำ เช่น ทองแดงหรือเงิน มีความต้านทานต่ำ อิเล็กตรอนไหลง่าย
→ ฉนวน เช่น พลาสติกหรือยาง มีความต้านทานสูง อิเล็กตรอนไหลยาก

ความต้านทานถูกวัดเป็น โอห์ม (Ω) และมันสำคัญมากในวงจร เพราะช่วยควบคุมปริมาณกระแสไฟฟ้าให้เหมาะสม ถ้าความต้านทานสูงเกินไป กระแสอาจไหลน้อยเกินจนเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ทำงาน แต่ถ้าต่ำเกินไป กระแสอาจไหลมากเกินจนเครื่องร้อนหรือพัง

ความต้านทานถูกใช้ในงานวิศวกรรม เช่น ใน ตัวต้านทาน (Resistor) ที่ควบคุมกระแสในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ หรือใน เครื่องทำความร้อน เช่น เตารีด ที่ใช้ความต้านทานเพื่อเปลี่ยนไฟฟ้าเป็นความร้อน และในวงการแพทย์ อุปกรณ์อย่างเครื่องตรวจคลื่นหัวใจ (ECG) ก็ใช้หลักการความต้านทานเพื่อวัดสัญญาณไฟฟ้าในร่างกาย

แรงดันไฟฟ้า – พลังที่ผลักอิเล็กตรอน

Screenshot 2023 07 08 at 6.34.20 PM removebg preview
What is voltage brief description ภาพโดย techatronic

แรงดันไฟฟ้า (Voltage) คือพลังที่ผลักดันให้อิเล็กตรอนเคลื่อนที่ในวงจร ลองนึกถึงน้ำในท่อ ถ้าคุณเพิ่มแรงดันน้ำ น้ำจะไหลเร็วขึ้น แรงดันไฟฟ้าก็เหมือนกัน มันคือ ความต่างศักย์ ที่ทำให้อิเล็กตรอนวิ่งจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ถูกวัดเป็น โวลต์ (V)

ในบ้านเรา ไฟบ้านมีแรงดันประมาณ 220-240 โวลต์ ซึ่งเพียงพอให้เครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานได้ เช่น ตู้เย็นหรือเครื่องซักผ้า ส่วนอุปกรณ์เล็กๆ เช่น โทรศัพท์ อาจใช้แรงดันต่ำจากแบตเตอรี่ (เช่น 5 โวลต์)

แรงดันไฟฟ้าถูกใช้ในหลายด้าน เช่น ในระบบส่งไฟฟ้า ที่ใช้แรงดันสูงมาก (หมื่นถึงแสนโวลต์) เพื่อส่งไฟจากโรงไฟฟ้าไปยังบ้านเราอย่างมีประสิทธิภาพ หรือในรถยนต์ไฟฟ้า ที่ใช้แบตเตอรี่แรงดันสูงเพื่อขับเคลื่อนมอเตอร์

กฎของโอห์ม – สูตรลับของวงจรไฟฟ้า

1060 ohms power 1.png
Calculating resistance (Ohm’s Law) ภาพโดย rhopointcomponents

ทีนี้มาถึง กฎของโอห์ม (Ohm’s Law) ซึ่งเป็นสูตรสุดคลาสสิก: V = I × R

V = แรงดันไฟฟ้า (โวลต์)
I = กระแสไฟฟ้า (แอมป์)
R = ความต้านทาน (โอห์ม)

สูตรนี้บอกเราว่า ถ้าแรงดันสูงขึ้น กระแสจะเพิ่มขึ้น (ถ้าความต้านทานคงที่) หรือถ้าความต้านทานสูงขึ้น กระแสจะลดลง (ถ้าแรงดันคงที่) นี่คือหัวใจของการออกแบบวงจรไฟฟ้าในเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด

กฎของโอห์มถูกใช้ในทุกวงการที่เกี่ยวกับไฟฟ้า เช่น การออกแบบวงจรในสมาร์ทโฟน เพื่อให้แน่ใจว่ากระแสไหลได้เหมาะสม ไม่ร้อนเกินไป หรือในระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ต้องคำนวณแรงดันและกระแสให้เหมาะสมกับการใช้งาน

พลังงานไฟฟ้าเปลี่ยนรูป – ไม่หายไปไหน แค่กลายร่าง

Energy Transformation
Energy Transformation ภาพโดย sciencefacts

สิ่งที่น่าสนใจคือ พลังงานไฟฟ้าไม่เคยหายไป มันแค่ เปลี่ยนรูป ตามหลักการอนุรักษ์พลังงาน ตัวอย่างเช่น

หลอดไฟ: เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็น แสง และ ความร้อน (นี่คือเหตุผลที่หลอดไฟร้อนเมื่อเปิดนาน)
พัดลม: เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็น พลังงานจลน์ (ใบพัดหมุน) และ เสียง (เสียงวื้ดๆ)
เครื่องทำน้ำอุ่น: เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็น ความร้อน เพื่ออุ่นน้ำ

นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า พลังงานไฟฟ้าเป็นเหมือน “พลังงานสารพัดประโยชน์” ที่เปลี่ยนไปเป็นรูปแบบต่างๆ ได้ตามการออกแบบของเครื่องใช้ไฟฟ้า

การเปลี่ยนรูปพลังงานถูกใช้ในหลายด้าน เช่น ใน โรงไฟฟ้า ที่เปลี่ยนพลังงานความร้อนจากถ่านหินหรือก๊าซเป็นพลังงานไฟฟ้า หรือใน รถยนต์ไฟฟ้า ที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี่เป็นพลังงานจลน์เพื่อขับเคลื่อนรถ

ความร้อนจากไฟฟ้า – ผลพลอยได้ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

เคยสังเกตมั้ยว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่จะ ร้อน เมื่อใช้ไปนานๆ เช่น ทีวี โน๊ตบุ๊ค หรือแม้แต่เครื่องชาร์จโทรศัพท์? นี่เพราะ ความต้านทานไฟฟ้า ในวงจร เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัวต้านทาน พลังงานบางส่วนจะเปลี่ยนเป็น ความร้อน ตาม กฎของจูล (Q = I²Rt) ซึ่งบอกว่าความร้อนขึ้นอยู่กับกระแสไฟฟ้าและความต้านทาน

ถึงแม้บางครั้งเราจะไม่ต้องการความร้อน (เช่น ในคอมพิวเตอร์) แต่มันเป็นผลพลอยได้ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่คือเหตุผลที่เครื่องใช้ไฟฟ้าบางตัวต้องมีพัดลมระบายความร้อน

ความร้อนจากไฟฟ้าถูกใช้ในงานหลายอย่าง เช่น ใน เตาไฟฟ้า หรือ เครื่องปิ้งขนมปัง ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความร้อนโดยเฉพาะ แต่ในอุปกรณ์ที่ไม่ต้องการความร้อน เช่น คอมพิวเตอร์ วิศวกรต้องออกแบบระบบระบายความร้อน เช่น ฮีทซิงค์หรือพัดลม เพื่อป้องกันเครื่องพัง

การต่อวงจร – อนุกรม vs. ขนาน

ในบ้านของเรา วงจรไฟฟ้ามักต่อแบบ ขนาน ซึ่งหมายความว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชิ้นทำงานแยกกัน ถ้าทีวีเสีย ตู้เย็นก็ยังทำงานได้ตามปกติ แต่ถ้าเป็นวงจร อนุกรม เช่น ไฟประดับต้นคริสต์มาสแบบเก่า ถ้าหลอดไฟดวงหนึ่งขาด ทั้งวงจรก็จะดับหมด เพราะกระแสไฟฟ้าไหลเป็นเส้นทางเดียว

การต่อวงจรแบบขนานถูกใช้ในระบบไฟฟ้าทุกบ้านเพื่อความสะดวกและปลอดภัย ส่วนวงจรอนุกรมมักใช้ในงานที่ต้องการควบคุมกระแสทั้งหมด เช่น ในวงจรทดสอบหรืออุปกรณ์ที่ต้องการให้ทุกส่วนทำงานพร้อมกัน

สนามแม่เหล็กไฟฟ้า – พลังงานที่ซ่อนอยู่ในวงจร

เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลในสายไฟ มันจะสร้าง สนามแม่เหล็ก รอบตัวนำ และถ้าสนามแม่เหล็กเปลี่ยนแปลง มันจะเหนี่ยวนำให้เกิดกระแสไฟฟ้าได้ นี่คือหลักการของ

มอเตอร์ไฟฟ้า: เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นการเคลื่อนที่ (เช่น ในพัดลมหรือเครื่องซักผ้า)
เครื่องกำเนิดไฟฟ้า: เปลี่ยนการเคลื่อนที่เป็นพลังงานไฟฟ้า (เช่น ในโรงไฟฟ้า)

หลักการนี้ถูกใช้ในเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ใน เครื่อง MRI ในโรงพยาบาลที่ใช้สนามแม่เหล็กเพื่อสร้างภาพภายในร่างกาย หรือใน รถไฟแม่เหล็ก (Maglev) ที่ใช้สนามแม่เหล็กเพื่อยกและขับเคลื่อนรถไฟให้ลอยเหนือราง

สิ่งที่เราอาจไม่เคยสังเกต

มีเกร็ดเจ๋งๆ เกี่ยวกับไฟฟ้าที่คุณอาจมองข้าม

→ เครื่องใช้ไฟฟ้าร้อนเสมอ: แม้แต่เครื่องที่ไม่ได้ออกแบบมาให้ร้อน เช่น โทรศัพท์ ก็ร้อนได้เพราะความต้านทานในวงจร
→ ไฟฟ้าในร่างกาย: ร่างกายเราก็มีกระแสไฟฟ้าเล็กๆ เช่น ในระบบประสาทที่ส่งสัญญาณไปยังสมอง
→ ประหยัดไฟ: การปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้ช่วยลดการสูญเสียพลังงานเป็นความร้อน และประหยัดค่าไฟ

ในอนาคต เทคโนโลยีไฟฟ้าอาจนำไปสู่ พลังงานหมุนเวียน เช่น แผงโซลาร์เซลล์ที่แปลงแสงแดดเป็นไฟฟ้า หรือ แบตเตอรี่รุ่นใหม่ ที่เก็บพลังงานได้มากขึ้นและชาร์จเร็วขึ้น

การใช้ไฟฟ้าในชีวิตจริงและวิทยาศาสตร์

ไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้ามีบทบาทในทุกด้านของชีวิต

ในบ้าน: จากหลอดไฟไปจนถึงเครื่องปรับอากาศ ล้วนใช้หลักการวงจรไฟฟ้า
ในอุตสาหกรรม: โรงงานใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการผลิตสินค้า และเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในโรงไฟฟ้า
ในเทคโนโลยี: คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และเซิร์ฟเวอร์ในอินเทอร์เน็ต ล้วนพึ่งพาการควบคุมกระแสไฟฟ้า

ในอนาคต ไฟฟ้าจะยิ่งสำคัญ เช่น ใน เมืองอัจฉริยะ ที่ใช้เซ็นเซอร์และวงจรไฟฟ้าเพื่อจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ หรือใน ยานอวกาศ ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เพื่อขับเคลื่อนระบบ

ใครจะคิดว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เราใช้ทุกวันจะมีอะไรเจ๋งๆ ซ่อนอยู่ขนาดนี้ จาก กระแสไฟฟ้า ที่อิเล็กตรอนวิ่งวุ่นในวงจร ไปถึง ความต้านทาน และ แรงดันไฟฟ้า ที่ควบคุมการทำงาน และ กฎของโอห์ม ที่เป็นหัวใจของทุกอย่าง แถมพลังงานไฟฟ้ายังเปลี่ยนรูปไปเป็นแสง ความร้อน หรือการเคลื่อนที่ได้อย่างมหัศจรรย์ ไฟฟ้าไม่ใช่แค่พลังงาน แต่คือสิ่งที่ขับเคลื่อนโลกของเรา


ว้าว ใครจะไปคิดว่าสิ่งที่เราทำทุกวัน ไม่ว่าจะต้มน้ำ เด้งลูกบอล เดินไปมา มองเห็นโลกสวยๆ หรือใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า จะเต็มไปด้วย ฟิสิกส์สุดเจ๋ง ที่ซ่อนอยู่แบบนี้ จาก การถ่ายโอนความร้อน ไปจนถึง พลังงานจลน์, แรงเสียดทาน, การหักเหของแสง, และ วงจรไฟฟ้า ทุกอย่างล้วนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เชื่อมโยงกับวิทยาศาสตร์ในแบบที่เราคาดไม่ถึง หวังว่าบทความนี้จะทำให้ทุกคนมองโลกในมุมใหม่ และเห็นว่าฟิสิกส์ไม่ได้อยู่แค่ในห้องเรียน แต่อยู่รอบตัวเราทุกวัน 😎


📒 อ้างอิง | แหล่งข้อมูล | แหล่งที่มา | ผู้สอน | ผู้เรียบเรียง:รักเรียน ruk-learn.com

→ รู้จัก การต้มน้ำจนเดือด Boiling โดย Boiling From Wikipedia, the free encyclopedia

→ รู้จัก การกระเด้งของลูกบอล โดย ฟิสิกส์ของลูกบอลกระดอน

→ รู้จัก การเดิน โดย การเคลื่อนที่ (ฟิสิกส์)

→ รู้จัก การมองเห็น โดย Optics

→ เครื่องใช้ไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า โดย electric current


นวนิยาย ดวงใจเทวพรหม ลดราคาทุกเล่ม มีฉบับพิเศษด้วยนะ
นวนิยาย ดวงใจเทวพรหม ลดราคาทุกเล่ม มีฉบับพิเศษด้วยนะ

รวมหนังสือ นวนิยาย ดวงใจเทวพรหม ครบทุกเรื่อง นวนิยายโรแมนติกพีเรียดที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดใจนวนิยายสำหรับคนที่มีรักแท้ชอบความโรแมนติก อบอุ่น ผู้ที่คิดว่า ความรักแท้สามารถเอาชนะทุกอุปสรรคได้ และแฟนคลับนักอ่าน จาก นวนิยายชุด สุภาพบุรุษจุฑาเทพอ่านต่อ