การพัฒนาเรือรบในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เปลี่ยนโฉมการรบทางทะเล

การพัฒนาเรือรบในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เปลี่ยนโฉมการรบทางทะเล
การพัฒนาเรือรบในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เปลี่ยนโฉมการรบทางทะเล

สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นช่วงเวลาที่เทคโนโลยีทางทหารก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด และไม่มีที่ใดจะเห็นได้ชัดเจนเท่ากับการพัฒนาเรือรบ การต่อสู้ทางทะเลในยุคนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การปะทะกันของเรือประจัญบานขนาดมหึมาอีกต่อไป แต่ได้วิวัฒนาการไปสู่มิติใหม่ที่ซับซ้อนและหลากหลายมากขึ้น เรือรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่เพียงแต่เป็นเพียงพาหนะในการรบ แต่เป็นศูนย์รวมของนวัตกรรมที่พลิกโฉมยุทธวิธีและยุทธศาสตร์ทางทะเลไปตลอดกาล

ในยุคที่ความขัดแย้งแผ่ขยายไปทั่วโลก มหาอำนาจต่าง ๆ ได้ทุ่มเททรัพยากรจำนวนมหาศาลในการออกแบบและสร้างเรือรบที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินที่กลายเป็นขุมกำลังหลักในการโจมตีทางอากาศ เรือดำน้ำที่ซุ่มโจมตีเงียบ ๆ จากใต้ท้องทะเล หรือเรือพิฆาตที่รวดเร็วและคล่องตัว แต่ละประเภทล้วนมีบทบาทสำคัญในการกำหนดผลแพ้ชนะของสงคราม

800px Missouri post refit
ยูเอสเอส มิสซูรี(BB-63) (“ไมท์ตีโม” หรือ “บิกโม”) เป็นเรือประจัญบานชั้นไอโอวาของกองทัพเรือสหรัฐ ภาพโดย กองทัพเรือสหรัฐ

การพัฒนาเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่เป็นการผนวกเอาวิทยาการหลายแขนงเข้าไว้ด้วยกัน ตั้งแต่ระบบเรดาร์โซนาร์ที่ช่วยในการตรวจจับข้าศึก ไปจนถึงระบบควบคุมการยิงที่แม่นยำยิ่งขึ้น สิ่งเหล่านี้ได้เสริมศักยภาพให้กับเรือรบแต่ละลำ ทำให้การรบทางทะเลเต็มไปด้วยกลยุทธ์ที่พลิกแพลง และความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเหล่านี้ และทำความเข้าใจว่าเรือรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สร้างนิยามใหม่ให้กับการรบทางทะเลได้อย่างไร

สารบัญบทความ

📒 เรือประจัญบาน เจ้าสมุทรแห่งศตวรรษที่ 19 และ 20

ย้อนเวลากลับไปสู่ยุคปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 สมัยที่มหาสมุทรถูกครอบครองด้วยอำนาจของเรือรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ นั่นคือ เรือประจัญบาน หรือ Battleship

ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ คลื่นซัดสาด และตรงขอบฟ้า เงายักษ์ของเรือรบขนาดมหาศาลกำลังแล่นมา ด้วยปืนใหญ่ที่พร้อมปลดปล่อยพลังทำลายล้างได้ทุกเมื่อ นี่คือเรือประจัญบาน สัญลักษณ์แห่งอำนาจทางเรือที่ไม่มีอะไรเทียบได้ในยุคนั้น

ในช่วงเวลานั้น อำนาจการยิงคือทุกสิ่งครับ ถ้าอยากครองทะเล คุณต้องมีเรือที่แข็งแกร่งและติดอาวุธหนักที่สุด และเรือประจัญบานคือคำตอบ พวกมันถูกออกแบบมาเพื่อเป็นราชันย์แห่งท้องทะเล ด้วยเกราะเหล็กหนาที่ยากจะเจาะทะลุ และปืนใหญ่ที่สามารถยิงได้ไกลและรุนแรงจนศัตรูต้องหวาดกลัว ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันน่านน้ำหรือการแสดงแสนยานุภาพของชาติ เรือประจัญบานคือตัวแทนของความยิ่งใหญ่และความเหนือกว่า

เรือประจัญบานไม่ได้เป็นแค่เครื่องจักรสงครามนะครับ มันยังเป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและพลังของชาติ ประเทศมหาอำนาจอย่างอังกฤษ สหรัฐอเมริกา และเยอรมนี ต่างแข่งขันกันสร้างเรือประจัญบานที่ใหญ่ขึ้น แข็งแกร่งขึ้น และมีพลังทำลายล้างมากขึ้น ตัวอย่างเช่น เรือ HMS Dreadnought ของอังกฤษ ที่ปฏิวัติวงการเรือรบในปี 1906 ด้วยความเร็วและพลังปืนที่เหนือชั้น จนกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของเรือประจัญบานทั่วโลก

960px HMS Dreadnought 1906 H61017
เรือ HMS Dreadnought 1906 ภาพโดย U.S. Navy, Restored by Adam Cuerden

แต่ความยิ่งใหญ่ของเรือประจัญบานไม่ได้คงอยู่ตลอดไป เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาไป อากาศยานและเรือดำน้ำเริ่มเข้ามามีบทบาทในสงคราม และในที่สุดเรือประจัญบานก็ค่อยๆ ลดความสำคัญลง แต่ในยุครุ่งเรืองของมัน มันคือสัญลักษณ์ของพลังที่ไม่มีใครกล้าท้าทาย

📒 ยุทธการพายุทะเลทรายและพลังของเรือประจัญบานชั้นไอโอวา

ช่วงปลายปี 1990 สมรภูมิร้อนระอุในอ่าวเปอร์เซีย กับ ยุทธการพายุทะเลทราย ย้อนไปในช่วงนั้น โลกกำลังจับตามองเมื่อ ซัดดัม ฮุสเซน ผู้นำอิรัก สั่งรุกรานคูเวต สร้างความตึงเครียดไปทั่วภูมิภาค กองกำลังพันธมิตรจากนานาชาติจึงรวมตัวกันในอ่าวเปอร์เซีย เตรียมตอบโต้อย่างเด็ดขาด เมื่ออิรักปฏิเสธที่จะถอนกำลัง การโจมตีครั้งใหญ่ที่ชื่อว่า ยุทธการพายุทะเลทราย ก็ระเบิดขึ้น

500px BB61 USS Iowa BB61 broadside USN
เรือ ยูเอสเอส ไอโอวา (BB-61) ระดมยิงด้านข้างทั้งหมดเมื่อ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1984 ระหว่างการสาธิตแสนยานุภาพหลังกลับเข้าประจำการใหม่ ภาพโดย กองทัพเรือสหรัฐ ผู้สร้างสรรค์ PH1 Jeff Hilton

การโจมตีเริ่มต้นด้วยพลังทางอากาศที่ถล่มเป้าหมายของอิรักอย่างหนักหน่วง แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องตะลึงคือการปรากฏตัวของอาวุธที่ทรงพลังไม่แพ้กัน นั่นคือขีปนาวุธครูซ โทมาฮอว์ก 27 ลูก ที่ถูกยิงตรงจากท้องทะเลเข้าโจมตีเป้าหมายของกองทัพอิรัก และรู้ไหมครับว่ามันถูกยิงมาจากอะไร? ไม่ใช่เรือรบสมัยใหม่ แต่เป็น เรือประจัญบานชั้นไอโอวา (IOWA-CLASS Battleship) เรือรบยักษ์ใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ครึ่งศตวรรษก่อน ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

Tomahawk Block IV cruise missile crop
บีจีเอ็ม-109 โทมาฮอว์ก ภาพโดย U.S. Navy derivative work: The High Fin Sperm Whale

เรือชั้นไอโอวา เช่น ยูเอสเอส มิสซูรี หรือ ยูเอสเอส วิสคอนซิน ถูกปลุกให้ตื่นจากประวัติศาสตร์เพื่อกลับมาร่วมรบอีกครั้ง แม้จะมีอายุเกือบ 50 ปี แต่เรือเหล่านี้ยังคงแข็งแกร่ง ด้วยเกราะหนาและพลังปืนใหญ่ที่ยังน่าเกรงขาม และในยุทธการครั้งนี้ พวกมันถูกอัปเกรดให้ยิงขีปนาวุธโทมาฮอว์ก ซึ่งเป็นอาวุธสมัยใหม่ที่แม่นยำและร้ายแรง ผสมผสานความเก่าและใหม่ได้อย่างลงตัว

การโจมตีด้วยโทมาฮอว์กจากเรือชั้นไอโอวาแสดงให้เห็นว่า แม้ยุคสมัยของเรือประจัญบานจะค่อยๆ จางหายไป แต่พลังและความยืดหยุ่นของมันยังคงสร้างผลกระทบในสงครามสมัยใหม่ได้อย่างน่าทึ่ง มันคือเครื่องพิสูจน์ว่าเรือรบในตำนานเหล่านี้ยังคงมีที่ยืนในประวัติศาสตร์

📒 เรือประจัญบานชั้นไอโอวา  ตำนานแห่งสงครามและสันติภาพ

เรื่องราวของเรือชั้นไอโอวาเริ่มต้นก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะปะทุขึ้น การต่อเรือใช้เวลาถึง 5 ปี ด้วยความเร็วสูงสุด 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้มันกลายเป็นเรือประจัญบานที่เร็วที่สุดในโลก แต่ความเร็วไม่ใช่จุดเด่นเพียงอย่างเดียว เพราะเรือเหล่านี้มาพร้อมปืนใหญ่ขนาด 16 นิ้ว ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยติดตั้งบนเรือรบ กระสุนเจาะเกราะของมันสามารถทะลวงคอนกรีตเสริมเหล็กได้ลึกเกือบ 10 เมตร ลองนึกภาพพลังทำลายล้างขนาดนั้นดูสิครับ

ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เรือชั้นไอโอวาเป็นมากกว่าแค่เรือรบ พวกมันคือป้อมปราการลอยน้ำ ด้วยปืนต่อสู้อากาศยาน 130 กระบอก ทำให้มันมีพลังป้องกันภัยทางอากาศเหนือกว่าเรือลำใดในยุคนั้น ในสมรภูมิแปซิฟิก เรือเหล่านี้คุ้มครองเรือบรรทุกเครื่องบินของฝ่ายพันธมิตรจากการโจมตีของเครื่องบินญี่ปุ่น และเมื่อสหรัฐรุกคืบไปยังหมู่เกาะเพื่อมุ่งสู่แผ่นดินใหญ่ญี่ปุ่น เรือชั้นไอโอวาก็ยิงสนับสนุนการโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบก ช่วยปูทางให้กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร

Grf5fjOdTAro1R4 1748846142
คณะผู้แทนจากญี่ปุ่นและฝ่ายสัมพันธมิตรได้ลงนามใน อัตตราสารการยอมแพ้ ภาพโดย roadstothegreatwar

แต่เรื่องราวของเรือชั้นไอโอวาไม่ได้มีแค่ความยิ่งใหญ่ในสงครามเท่านั้น เพราะในวันที่ 2 กันยายน 1945 บนดาดฟ้าของ ยูเอสเอส มิสซูรี หนึ่งในเรือชั้นไอโอวา คณะผู้แทนจากญี่ปุ่นและฝ่ายสัมพันธมิตรได้ลงนามใน อัตตราสารการยอมแพ้ ปิดฉากสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการ มันคือภารกิจเพื่อสันติภาพที่กลายเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

d8
พิพิธภัณฑ์เรือประจัญบานชั้นไอโอวา ภาพโดย tripadvisor

หลังจากนั้น เรือชั้นไอโอวายังคงโลดแล่นในสงครามเกาหลีและสงครามเวียดนาม และในยุค 1980 ช่วงความตึงเครียดของสงครามเย็น พวกมันถูกนำกลับเข้าประจำการ และยังได้แสดงพลังอีกครั้งในอ่าวเปอร์เซีย หลังจากรับใช้ชาติมากว่า 70 ปี ในที่สุดเรือประจัญบานชั้นไอโอวาก็ถูกปลดระวาง กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ลอยน้ำที่ยืนหยัดเป็นอนุสรณ์ของความกล้าหาญ ทั้งในยามสงครามและยามสงบ

📒 ยุทธนาวีแห่งแอตแลนติก บิสมาร์ค ปะทะ ฮูด

สมรภูมิอันดุเดือดของมหาสมุทรแอตแลนติกในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กับการปะทะครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างสองยักษ์ใหญ่แห่งท้องทะเล เรือบิสมาร์ค ของนาซีเยอรมนี และ เรือหลวงฮูด สัญลักษณ์แห่งราชนาวีอังกฤษ

วันที่ 3 กันยายน ปี 1939 เมื่ออังกฤษประกาศสงครามกับเยอรมนี มหาสมุทรแอตแลนติกกลายเป็นสมรภูมิแห่งการชี้ชะตา ราชนาวีอังกฤษเริ่มปฏิบัติการเพื่อทำลายทรัพยากรสงครามของนาซี แต่เยอรมนีตอบโต้ด้วยการปิดล้อมทางเรือที่โหดร้าย เรือดำน้ำอู (U-boat) และเรือรบเยอรมันออกล่าเรือสินค้าและเรือรบของฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างไม่ปราณี เป็นเวลา 5 ปีที่แอตแลนติกถูกครอบงำด้วยสงครามอันโหดร้าย

960px Bundesarchiv Bild 193 04 1 26%2C Schlachtschiff Bismarck
เรือประจัญบานบิสมาร์ค ในปี ค.ศ. 1940 ภาพโดย Bundesarchiv

และแล้ว ในปี 1940 เยอรมนีก็เผยโฉมสุดยอดอาวุธแห่งท้องทะเล เรือประจัญบานชั้นบิสมาร์ค (BISMARCK-CLASS Battleship) ตั้งชื่อตาม อ็อทโท ฟ็อน บิสมาร์ค ผู้รวมชาติเยอรมนี ผู้บังคับการเรือถึงกับเรียกมันว่า “เขา” แทน “เธอ” ตามธรรมเนียม เพราะความยิ่งใหญ่ของมัน บิสมาร์คคือเรือประจัญบานที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ด้วยปืนใหญ่ขนาด 15 นิ้ว 8 กระบอก ติดตั้งบนป้อมปืนคู่ 4 ป้อม และเกราะหนักที่คิดเป็น 40% ของน้ำหนักเรือทั้งหมด มันคือป้อมปราการลอยน้ำที่แทบไร้เทียมทาน

960px HMS Hood %2851%29 March 17%2C 1924
เรือหลวงฮูดใน ค.ศ. 1924 ภาพโดย State Library of Victoria

เมื่อบิสมาร์คออกปฏิบัติการในแอตแลนติกตอนเหนือเพื่อล่าเรือสินค้าฝ่ายสัมพันธมิตร อังกฤษส่ง เรือหลวงฮูด(HMS Hood) สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ของราชนาวี ไปสกัดกั้น ฮูดคือความหวังเดียวที่เร็วพอจะไล่ตามบิสมาร์คได้ ด้วยความเร็วสูงสุด 30 นอต เทียบเท่ากัน แต่ฮูดต้องแลกเกราะที่บางกว่าด้วยความคล่องตัว

960px Prince of Wales 1
เรือหลวงปรินส์ออฟเวลส์ (Prince of Wales) ภาพโดย กองทัพเรือสหรัฐ

ในยุทธนาวีที่ช่องแคบเดนมาร์ก ทั้งสองยักษ์ใหญ่เผชิญหน้ากัน ฮูดและเรือประจัญบาน ปรินส์ออฟเวลส์(Prince of Wales) เปิดฉากยิงก่อน แต่บิสมาร์คตอบโต้ด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว กระสุนจากบิสมาร์คพุ่งเข้าใส่ท้ายเรือฮูด และในพริบตา… บูม เรือหลวงฮูดระเบิดทันที จากลูกเรือ 1,419 นาย รอดชีวิตเพียง 3 คนเท่านั้น การสูญเสียฮูดคือความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของอังกฤษ และเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความเกรียงไกรของบิสมาร์ค

การตัดสินใจลดเกราะเพื่อความเร็วของฮูดกลายเป็นจุดอ่อน เมื่อเจอกับพลังทำลายล้างของบิสมาร์ค ศึกครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าในสงครามแห่งท้องทะเล อำนาจการยิงและการป้องกันคือกุญแจสู่ชัยชนะ

📒 เรือประจัญบานชั้นควีนอลิซาเบธ  ตำนานแห่งราชนาวีอังกฤษ

ปี 1912 ที่อู่ต่อเรือเมืองพอร์ตสมัท ประเทศอังกฤษ สถานที่ที่กำเนิดเรือรบในตำนานที่เปลี่ยนโฉมหน้าของสงครามทางทะเล นั่นคือ เรือประจัญบานชั้นควีนอลิซาเบธ(HMS Queen Elizabeth) สายพันธุ์ใหม่ของเรือรบที่เร็ว แกร่ง และทันสมัยที่สุดในยุคนั้น

DTdOkBnhGPih4zb 1748938227
เรือรบประจัญบานชั้นควีนเอลิซาเบธ เอชเอ็มเอส วาเลียนท์ ในรูปแบบสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (ภาพบน) และรูปแบบสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง (ภาพล่าง) ภาพโดย WarshipPorn

ตั้งชื่อตามกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธ เรือชั้นนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อนำราชนาวีอังกฤษสู่ชัยชนะในสงครามโลกทั้งสองครั้ง สิ่งที่ทำให้เรือชั้นควีนอลิซาเบธโดดเด่นคือการเป็นเรือประจัญบานลำแรกที่ใช้เชื้อเพลิงน้ำมันเตาแทนถ่านหิน ด้วยเครื่องจักรกังหันน้ำ 4 เครื่อง ทำให้มันพุ่งทะยานด้วยความเร็วสูงสุด 44 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เร็วกว่าเรือประจัญบานทั่วไปในสมัยนั้น

เรือทั้ง 5 ลำในชั้นนี้ เช่น เรือหลวงวอร์สไปท์(HMS Warspite 03) หรือ ควีนอลิซาเบธ คือสุดยอดแห่งพลังในสงครามโลกครั้งที่ 1 ติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 15 นิ้ว 8 กระบอก ซึ่งเป็นปืนเรือที่ประสบความสำเร็จที่สุดของราชนาวีอังกฤษ กระสุนแต่ละนัดหนักเกือบ 880 กิโลกรัม สามารถทำลายเป้าหมายได้อย่างน่าสะพรึงกลัว และเมื่อเข้าสู่ยุค 1930 เรือเหล่านี้ได้รับการอัปเกรดด้วยอาวุธต่อสู้อากาศยาน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสงครามครั้งใหม่ที่กำลังจะมาถึง

960px HMS Warspite%2C Indian Ocean 1942
เรือหลวงวอร์สไปท์ ขณะแล่นอยู่ในมหาสมุทรอินเดียเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ.1942 ภาพโดย ภาพถ่ายนี้ 11787 มาจากคอลเล็กชั่นพิพิธภัณฑ์สงครามจักรวรรดิ (หมายเลขคอลเลกชัน 4700-01)

หนึ่งในเรือที่โดดเด่นที่สุดคือ เรือหลวงวอร์สไปท์ ซึ่งได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ตั้งแต่ปี 1934 ด้วยงบประมาณถึง 2.5 ล้านปอนด์ การปรับโฉมนี้ทำให้วอร์สไปท์กลายเป็นเรือรบที่ทันสมัย พร้อมกลับออกสู่ท้องทะเล และในปี 1940 ที่ยุทธนาวีแห่งคาลาเบรีย วอร์สไปท์ได้สร้างประวัติศาสตร์ ขณะคุ้มกันเรือลาดตระเวนของฝ่ายสัมพันธมิตรที่ถูกโจมตีโดยกองทัพเรืออิตาลี วอร์สไปท์ยกปืนใหญ่ของมันขึ้นมุมสูงสุด และยิงถูกเรือประจัญบานอิตาลีจากระยะไกลถึง 24 กิโลเมตร นี่คือการยิงระยะไกลที่สุดในประวัติศาสตร์การรบทางทะเล

เรือหลวงวอร์สไปท์ไม่เพียงแค่สร้างประวัติศาสตร์ในสมรภูมิ แต่ยังได้รับเกียรติยศสูงสุดในสงครามโลกครั้งที่ 2 และกลายเป็นเรือที่ได้รับรางวัลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของราชนาวีอังกฤษ มันคือสัญลักษณ์แห่งความแข็งแกร่ง ความกล้าหาญ และความยิ่งใหญ่ของกองทัพเรืออังกฤษ

📒 เรือพิฆาตชั้นอาร์เลห์ เบิร์ก นักรบแห่งยุคใหม่ของท้องทะเล

ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของสงครามทางทะเล ช่วงที่เรือประจัญบานยักษ์ใหญ่กลายเป็นอดีต และราชันย์แห่งท้องทะเลตัวใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้น นั่นคือ เรือพิฆาตอาวุธนำวิถีชั้นอาร์เลห์ เบิร์ก (ARLEIGH BURKE-CLASS ) สุดยอดนวัตกรรมของกองทัพเรือสหรัฐ

960px The guided missile destroyer USS Barry %28DDG 52%29 arrives in Souda Bay%2C Crete April 29%2C 2013 130429 N RF968 186
ยูเอสเอส แบร์รี (ดีดีจี-52) เป็นเรือพิฆาตขีปนาวุธนำวิถีชั้นอาร์เลห์เบิร์ค (Arleigh Burke) ใน Souda Bay เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2013 ภาพโดย กองทัพเรือสหรัฐ

ย้อนไปในยุค 1960 ยุคทองของเรือประจัญบานจบลงแล้วครับ ปืนใหญ่ขนาดยักษ์ที่เคยครองสมรภูมิถูกแทนที่ด้วยอาวุธปล่อยนำวิถีที่ยิงได้ไกลกว่าและทรงพลังไม่แพ้กัน และในช่วงปลายยุค 1980 กองทัพเรือสหรัฐได้เปิดตัว เรือพิฆาตชั้นอาร์เลห์ เบิร์ก เรือรบอเนกประสงค์ที่เปรียบเสมือนอาวุธสุดยอดแห่งท้องทะเล ด้วยขีปนาวุธนำวิถีกว่า 90 ลูก รวมถึง โทมาฮอว์ก ขีปนาวุธครูซที่ยิงได้ไกลถึง 2,500 กิโลเมตร ทำลายเป้าหมายได้อย่างแม่นยำจากระยะไกล

ลืมภาพเรือประจัญบานหุ้มเกราะหนาเตอะไปได้เลย เพราะชั้นอาร์เลห์ เบิร์กมาพร้อม นวัตกรรมที่เปลี่ยนเกมสงคราม ด้วย ระบบเรดาร์เอจิส 4 แผง ที่เปรียบเสมือนโล่ป้องกันรอบทิศ 360 องศา สามารถตรวจจับและติดตามเป้าหมาย พร้อมนำทางอาวุธเพื่อกำจัดภัยคุกคามต่อกองเรือได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบิน ขีปนาวุธ หรือเรือรบของข้าศึก

แต่ที่ทำให้เรือชั้นนี้ยิ่งล้ำไปอีกคือเทคโนโลยี สเตลธ์ หรือการลดการถูกตรวจจับ ด้วยพื้นผิวที่ออกแบบให้สะท้อนสัญญาณเรดาร์น้อยลง ทำให้เรือพิฆาตเหล่านี้กลายเป็นเป้าที่ตรวจจับได้ยากในสายตาของข้าศึก มันคือการผสมผสานระหว่างพลังทำลายล้าง ความทันสมัย และความล่องหน

เรือพิฆาตชั้นอาร์เลห์ เบิร์กถูกสร้างมาเพื่อสงครามยุคใหม่ ไม่เพียงแค่ปกป้องกองเรือ แต่ยังสามารถปฏิบัติการได้หลากหลายภารกิจ ตั้งแต่การโจมตีเป้าหมายบนบกไปจนถึงการป้องกันภัยทางอากาศ ด้วยระบบตรวจจับอันล้ำสมัยและอาวุธที่ร้ายแรง เรือชั้นนี้จะยังคงครองท้องทะเลไปอีกหลายทศวรรษ

📒 เรือดำน้ำชั้นลอสแองเจลิส ปีศาจเงียบแห่งท้องทะเล

เงามืดแห่งมหาสมุทร ดำดิ่งลงสู่โลกใต้ผิวน้ำ สถานที่ที่ภัยคุกคามที่เงียบงันและน่าสะพรึงกลัวที่สุดซ่อนตัวอยู่ นั่นคือ เรือดำน้ำชั้นลอสแองเจลิส (USS Los Angeles (SSN-688) ปีศาจเงียบที่ครองท้องทะเลมานานหลายทศวรรษ

960px USS Los Angeles%3B0868802
USS Los Angeles,ภาพโดย กองทัพเรือสหรัฐ

ลืมภาพเรือรบผิวน้ำที่ยิงปืนใหญ่สนั่นไปได้เลย เพราะไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าภัยจากใต้เกลียวคลื่น ในอดีต เรือดำน้ำอาจเคยล้าหลัง เปราะบาง และด้อยประสิทธิภาพ แต่ด้วยนวัตกรรมและพลังงานนิวเคลียร์ เรือดำน้ำได้กลายเป็นเครื่องจักรสงครามที่ท้าทายทุกอำนาจในมหาสมุทร และในปี 1976 กองทัพเรือสหรัฐได้เปิดตัว เรือดำน้ำชั้นลอสแองเจลิส หรือ USS Los Angeles (SSN-688) ซึ่งกลายเป็นกระดูกสันหลังของกองเรือดำน้ำสหรัฐ

เรือชั้นนี้ขับเคลื่อนด้วยเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่ให้พลังถึง 35,000 แรงม้า ทำให้มันสามารถลาดตระเวนใต้ทะเลได้นานถึง 3 เดือน โดยไม่ต้องผุดขึ้นสู่ผิวน้ำ และดำได้ลึกถึง 300 เมตร ความเร็วสูงสุดของมัน? ข้อมูลนั้นถูกจัดเป็นความลับชั้นสูง แต่ที่แน่ ๆ มันเร็วและเงียบจนศัตรูแทบตรวจจับไม่ได้ ซุ่มซ่อนอยู่ในความมืดของมหาสมุทร พร้อมโจมตีได้ทุกเมื่อ

เรือดำน้ำชั้นลอสแองเจลิสบรรทุกขีปนาวุธครูซ โทมาฮอว์ก ที่สามารถยิงจากใต้ทะเลไปยังเป้าหมายที่ห่างออกไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเรือรบ เครื่องบิน หรือเป้าหมายบนบก พวกมันถูกออกแบบมาเพื่อค้นหาและทำลายศัตรูทั้งเหนือและใต้น้ำ ด้วยความสามารถนี้ เรือชั้นลอสแองเจลิสได้แสดงพลังอันน่าสะพรึงกลัวในมหาสมุทรอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

960px US Navy 040730 N 1234E 002 PCU Virginia %28SSN 774%29 returns to the General Dynamics Electric Boat shipyard
ยูเอสเอส เวอร์จิเนีย แล่นในเดือนกรกฏาคม ค.ศ. 2004 ภาพโดย กองทัพเรือสหรัฐ

ถึงแม้วันนี้ เรือดำน้ำชั้นลอสแองเจลิสกำลังจะถูกแทนที่ด้วยเรือดำน้ำชั้นเวอร์จิเนีย (Virginia-class submarine) ที่เร็วกว่าและล้ำสมัยกว่า แต่ปีศาจเงียบเหล่านี้ยังคงเป็นตำนาน พวกมันคือเครื่องจักรสังหารที่ครั้งหนึ่งเคยครองตำแหน่งสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในท้องทะเล และปูทางให้เรือดำน้ำยุคใหม่ที่ยังคงปฏิบัติการด้วยความลับและขีดความสามารถอันยอดเยี่ยม

📒 เรือดำน้ำ U-35 ปีศาจแห่งเมดิเตอร์เรเนียนในสงครามโลกครั้งที่ 1

ย้อนกลับไปยังปี 1917 สู่สมรภูมิทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ซึ่งสัตว์ร้ายเงียบแห่งท้องทะเลกำลังออกล่า นั่นคือ เรือดำน้ำ U-35(SM U-35 ) ของจักรวรรดิเยอรมนี ปีศาจที่ครองความน่าสะพรึงกลัวในมหาสมุทร

U35 Kriegsmarine
เรือดำน้ำเยอรมันอู-35 (ค.ศ. 1936)

ในขณะที่การรบบนบกบนแนวรบตะวันตกกลายเป็นสงครามยืดเยื้อ เยอรมนีได้เปลี่ยนเกมด้วยการประกาศเขตสงครามไม่จำกัดในท้องทะเล โดยใช้กองเรือดำน้ำ หรือ U-boat ซึ่งในจำนวน 274 ลำ U-35 คือเรือที่น่ากลัวที่สุด และผู้บังคับการของมันคือ โลทาร์ ฟอน อาร์โนลด์ เดอ ลา แปริแยร์(Lothar von Arnauld de la Perière) ผู้การเรือที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยสถิติจมเรือข้าศึกถึง 195 ลำ สถิตินี้ไม่มีใครทำลายได้จนถึงทุกวันนี้

500px Lothar von Arnauld de la Peri%C3%A8re
Lothar von Arnauld de la Perière en 1917. ภาพโดย Auteur inconnu

หนึ่งในเหยื่อของ U-35 คือเรือสินค้าอังกฤษที่ถูกยิงจมด้วยกระสุนจากปืน 22 ปอนด์ของมัน แต่สิ่งที่ทำให้โลทาร์แตกต่างคือศีลธรรมของเขา เขาปฏิบัติตามกฎสงครามอย่างเคร่งครัด โดยมักโจมตีจากผิวน้ำและใช้ตอร์ปิโดเป็นทางเลือกสุดท้าย เขาจะให้ลูกเรือข้าศึกอพยพลงเรือชูชีพ และบอกทิศทางไปยังท่าเรือที่ใกล้ที่สุดก่อนจมเรือของพวกเขา แต่ไม่ใช่ผู้การเรือ U-boat ทุกคนที่ทำเช่นนี้ ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมต่อพลเรือนจำนวนมาก

เมื่อสงครามดำเนินต่อไป ฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มพัฒนาวิธีตอบโต้ การลาดตระเวนทางอากาศช่วยเตือนภัยให้กองเรือผิวน้ำ ขบวนเรือสินค้าถูกจัดเป็นขบวนติดอาวุธ โดยเรือนำจะปล่อยฉากควันปกป้องเรือลำอื่น ส่วนเรือดำน้ำพลังดีเซลไฟฟ้าที่มีเสียงดังกลายเป็นเป้าหมายของ ไมโครโฟนใต้น้ำ ที่พัฒนาขึ้นเพื่อตรวจจับ และเมื่อพบ U-boat ฝ่ายสัมพันธมิตรจะใช้ ลูกระเบิดน้ำลึก อาวุธใหม่ที่สร้างคลื่นกระแทกเพื่อจมเรือดำน้ำหรือบังคับให้มันผุดขึ้นสู่ผิวน้ำ ซึ่งมันจะตกเป็นเป้าของเรือรบหรือเครื่องบินทันที

ถึงต้นปี 1918 ฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มกดดันกองเรือ U-boat ได้ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความสูญเสียมหาศาล เรือกว่า 5,000 ลำและลูกเรือนับไม่ถ้วนต้องจมลงสู่ก้นสมุทร แต่ท่ามกลางความโกลาหล U-35 ยังคงรอดพ้นและยืนหยัดอย่างแข็งแกร่ง ดั่งตำนานที่ไม่มีวันแตกสลาย

📒 ยูเอสเอส นอติลุส ผู้ปฏิวัติสงครามใต้ทะเลด้วยพลังนิวเคลียร์

เรือดำน้ำที่เปลี่ยนโฉมหน้าของสงครามทางทะเลตลอดกาล นั่นคือ ยูเอสเอส นอติลุส (SSN-571)(USS NAUTILUS (SSN-571)) เรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ลำแรกของโลก

960px SS 571 Nautilus trials
USS Nautilus ในระหว่างการทดลองทางทะเลครั้งแรก 20 มกราคม 1955 ภาพโดย U.S. Navy photo 80-G-709366

ในอดีต เรือดำน้ำมีจุดอ่อนสำคัญคือต้องผุดขึ้นสู่ผิวน้ำเพื่อรับอากาศและชาร์จแบตเตอรี่ เครื่องยนต์ดีเซลไฟฟ้ายุคแรกจำกัดระยะเวลาการดำน้ำได้ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อพลังงานนิวเคลียร์เข้ามา แม้ว่าเทคโนโลยีนิวเคลียร์จะน่าสะพรึงกลัวในสายตาคนทั่วโลก กองทัพเรือสหรัฐมองว่ามันคือเชื้อเพลิงแห่งอนาคต ความท้าทายคือการสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่เล็กพอจะติดตั้งในเรือ และปลอดภัยต่อลูกเรือจากกัมมันตภาพรังสี

หลังจากการก่อสร้าง 18 เดือนโดยบริษัท เจเนอรัล อิเล็กทริก โบ๊ท ยูเอสเอส นอติลุส ถูกปล่อยลงน้ำในปี 1954 มันคือเรือดำน้ำที่ออกแบบมาเพื่อปฏิบัติภารกิจโดยไม่ต้องเติมเชื้อเพลิง ด้วยเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่ให้พลังงานนานถึง 2 ปี ทำให้เรือลำนี้เดินทางได้ไกลกว่า 100,000 กิโลเมตร ดำน้ำได้ลึกและไกลกว่าเรือดำน้ำใด ๆ ในประวัติศาสตร์

พลังงานจากยูเรเนียมในเตาปฏิกรณ์สร้างความร้อนเพื่อผลิตไอน้ำ หมุนใบจักร ขับเคลื่อน นอติลุส ให้พุ่งทะยานด้วยความเร็วที่ไม่เคยมีมาก่อน มันสามารถอยู่ใต้น้ำได้นานจนกว่าอาหารของลูกเรือจะหมด ยุทธวิธีเรือดำน้ำในสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 กลายเป็นเรื่องล้าสมัยไปในพริบตา เพราะ นอติลุส ได้นำพาการรบใต้ทะเลเข้าสู่ยุคใหม่

จุดสูงสุดของ นอติลุส มาถึงในวันที่ 3 สิงหาคม 1958 กับ ยุทธการซันซาย ภารกิจที่ท้าทายที่สุด การดำลอดใต้ขั้วโลกเหนือ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น ไม่มีอุปสรรคใด ๆ ขวางทาง นอติลุส ขณะที่มันลอดผ่านความมืดและความเย็นยะเยือกใต้ขั้วโลก และเมื่อมันผุดขึ้นสู่ผิวน้ำในที่สุด ลูกเรือทุกคนต่างรู้สึกถึงความโล่งใจและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่

การเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่แค่การอวดศักยภาพ แต่มันพิสูจน์ให้โลกเห็นถึงพลังของเทคโนโลยีนิวเคลียร์ในทะเล ยูเอสเอส นอติลุส ได้วางรากฐานให้กับวิวัฒนาการของเรือดำน้ำสมัยใหม่ และกลายเป็นตำนานที่จุดประกายยุคใหม่ของสงครามใต้ผิวน้ำ

📒 เรือดำน้ำ U-Boat โลงศพเหล็กแห่งสงครามโลกครั้งที่ 2

สมรภูมิใต้ท้องทะเลในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ซึ่งกองเรือดำน้ำของนาซีเยอรมนี หรือ U-Boat กลายเป็นฝันร้ายของฝ่ายสัมพันธมิตร และได้ฉายาว่า โลงศพเหล็ก

ย้อนกลับไปในปี 1933 เมื่อ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ขึ้นสู่อำนาจ เขาเริ่มโครงการลับเพื่อสร้างกองเรือดำน้ำที่ทรงพลัง และเมื่ออังกฤษประกาศสงครามในปี 1939 เยอรมนีมีเรือ U-Boat พร้อมรบถึง 46 ลำ โดยกำลังหลักคือ เรือ Type VII ปีศาจเงียบที่พร้อมคร่าชีวิตในมหาสมุทร

960px U995 2004 1 b
“เรือดำน้ำ U-995 แบบ VIIC/41 ที่อนุสรณ์สถานทางทะเลลาโบ (Laboe Naval Memorial) ใกล้เมืองคีล” ภาพโดย File:U995 2004 1.jpg: Darkone derivative work: Georgfotoart

เพียง 8 ชั่วโมงแรกของสงคราม U-Boat ก็แสดงพลังด้วยการจม SS Athenia เรือโดยสารของอังกฤษ สังหารผู้โดยสารและลูกเรือถึง 128 คน การโจมตีครั้งนี้กลายเป็นข่าวใหญ่และเป็นอาชญากรรมสงครามครั้งแรกที่กองเรือดำน้ำของฮิตเลอร์ก่อขึ้น ทำให้โลกตระหนักถึงความน่าสะพรึงกลัวของ U-Boat

ในช่วงแรกของสงคราม U-Boat ครองความได้เปรียบในเส้นทางเดินเรือของฝ่ายสัมพันธมิตร ด้วยกองเรือเพียง 20 ลำ พวกมันจมเรือข้าศึกถึง 2,779 ลำในเวลา 5 ปี แม้แต่วินสตัน เชอร์ชิล ผู้นำอังกฤษ ยังยอมรับว่า สิ่งเดียวที่ทำให้เขากลัวในสงครามคือกองเรือ U-Boat ติดตั้งตอร์ปิโดถึง 22 ลูก นำทางด้วยไจโรสโคปและขับเคลื่อนด้วยไอน้ำ ตอร์ปิโดเหล่านี้สามารถตั้งความลึกและโจมตีเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ในยุคแรกใช้การระเบิดจากการชน แต่ต่อมาใช้ระบบสนามแม่เหล็กที่ระเบิดใต้ท้องเรือ ทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงยิ่งขึ้น

เพื่อปฏิบัติการในระยะไกล เยอรมนีใช้ เรือมิลค์คาว เรือดำน้ำพี่เลี้ยงที่บรรทุกน้ำมันดีเซล 600 ตันสำหรับเติมเชื้อเพลิงให้ U-Boat แต่การขึ้นสู่ผิวน้ำเพื่อเติมน้ำมันนาน 5 ชั่วโมงคือจุดอ่อนที่ฝ่ายสัมพันธมิตรจับตามอง พวกเขาเริ่มโจมตีเรือมิลค์คาวอย่างไม่ลดละ เพราะรู้ว่าหากทำลายเรือเหล่านี้ได้ กองเรือ U-Boat ในแอตแลนติกจะหยุดชะงัก

ฝ่ายสัมพันธมิตรพัฒนายุทธวิธีตอบโต้อย่างเข้มข้น การลาดตระเวนทางอากาศ ไมโครโฟนใต้น้ำ และลูกระเบิดน้ำลึกกลายเป็นอาวุธสำคัญในการล่า U-Boat เมื่อสงครามจบลง เรือมิลค์คาวทั้ง 10 ลำและ U-Boat สองในสามถูกจมลงสู่ก้นสมุทร พร้อมกับทหารเรือดำน้ำเยอรมันสี่ในห้าคน ราคาที่นาซีต้องจ่ายนั้นสูงลิบ ทำให้ U-Boat ได้รับฉายาว่า โลงศพเหล็ก

📒 ยูเอสเอส จอร์จ วอชิงตัน ผู้พิทักษ์นิวเคลียร์แห่งสงครามเย็น

ดำดิ่งสู่ยุคที่ความกลัวนิวเคลียร์ครอบงำโลก และพบกับเรือดำน้ำที่เปลี่ยนโฉมหน้าของการป้องปรามทางทหาร นั่นคือ เรือดำนํ้าชั้น จอร์จ วอชิงตัน(USS George Washington (SSBN-598)) ปีศาจเงียบที่ซ่อนพลังทำลายล้างมหาศาล

960px USS George Washington %28SSBN 598%29 underway at sea%2C circa in the 1970s
เรือยูเอสเอส จอร์จ วอชิงตัน (SSBN-598) ภาพโดย กองทัพเรือสหรัฐอเมริกา

ในช่วงสงครามเย็น ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและสหภาพโซเวียตพุ่งถึงขีดสุด ด้วยความกลัวการโจมตีด้วยนิวเคลียร์ กองทัพเรือสหรัฐจึงพัฒนา เรือดำน้ำชั้นจอร์จ วอชิงตัน เพื่อรับประกันว่าสหรัฐสามารถตอบโต้ได้จากทุกมุมโลก ปล่อยลงน้ำในปี 1959 เรือลำนี้เป็นเรือดำน้ำขีปนาวุธลำแรกในจำนวน 41 ลำที่ออกแบบมาเพื่อยับยั้งภัยคุกคามนิวเคลียร์จากโซเวียต

ติดตั้งขีปนาวุธ โพลาริส 16 ลูก แต่ละลูกมีพลังทำลายล้างมากกว่าระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา 40 เท่า ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี ถึงกับยกย่องว่าเรือลำนี้คือระบบอาวุธที่สำคัญที่สุดของสหรัฐ ด้วยระยะยิง 2,000 กิโลเมตร และความสามารถในการซ่อนตัวใต้มหาสมุทร จอร์จ วอชิงตัน คือฐานยิงเคลื่อนที่ที่สมบูรณ์แบบ

500px Trident missile launch
[[UGM-133 Trident II ]] ขณะทะยานพ้นจากผิวน้ำหลังจากถูกปล่อยจากเรือดำน้ำนิวเคลียร์ของกองทัพเรือสหรัฐในปี พ.ศ. 2527 ภาพโดย JOSN Oscar Sosa (USN)

แต่ในยุคแรก การยิงขีปนาวุธต้องทำจากผิวน้ำ ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกตรวจจับ นวัตกรรมใหม่จึงเกิดขึ้น ระบบยิงขีปนาวุธจากใต้น้ำ เมื่อฝาผนึกน้ำที่ปากท่อระเบิดออก ถังอัดอากาศจะผลักขีปนาวุธโพลาริสผ่านน้ำลึก 40 เมตร ด้วยความเร็วเกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อพ้นผิวน้ำ จรวดจะจุดระเบิดและพุ่งไปยังเป้าหมาย ขีปนาวุธเหล่านี้ติดหัวรบไฮโดรเจนที่มีพลังทำลายล้างเทียบเท่าระเบิดทั้งหมดในสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมกัน

วันที่ 20 กรกฎาคม 1960 ยูเอสเอส จอร์จ วอชิงตัน สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการยิงขีปนาวุธโพลาริสลูกแรกจากใต้น้ำได้สำเร็จ ขีปนาวุธพุ่งขึ้นตามเส้นทาง 1,100 ไมล์ ไปยังเป้าหมายด้วยความแม่นยำที่น่าทึ่ง การยิงครั้งนี้พิสูจน์ว่าสหรัฐสามารถโจมตีโซเวียตจากใต้ทะเลได้อย่างเงียบเชียบและร้ายแรง

เรือชั้นจอร์จ วอชิงตันทั้ง 5 ลำปฏิบัติภารกิจลาดตระเวน 55 เที่ยว ฝึกยิงหัวรบไปยังเป้าหมายทั่วสหภาพโซเวียต เป็นสัญลักษณ์แห่งการป้องปรามที่ทำให้โซเวียตต้องเกรงกลัว และหลังจากรับใช้ชาติ 25 ปี เรือลำสุดท้ายในชั้นนี้ถูกปลดระวาง ปล่อยให้มรดกของมันเป็นรากฐานของเรือดำน้ำนิวเคลียร์ยุคใหม่

📒 เรือชั้นดอยช์แลนด์  นักล่าแห่งแอตแลนติกและโศกนาฏกรรมของ Admiral Graf Spee

ย้อนกลับไปยังครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 สู่ยุคที่สงครามทางเรือเปลี่ยนโฉมหน้า และพบกับเรือรบลูกผสมที่ทั้งเร็ว แรง และน่าสะพรึงกลัว นั่นคือ เรือลาดตระเวนประจัญบานชั้นดอยช์แลนด์(Deutschland class cruiser) ของเยอรมนี

ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เรือประจัญบานเริ่มเผยจุดอ่อนด้านความเชื่องช้าและเทอะทะ กองทัพเรือทั่วโลกจึงเริ่มพัฒนาเรือรบสายพันธุ์ใหม่ เรือลาดตระเวนประจัญบาน ที่ลดเกราะลงเพื่อเพิ่มความเร็ว แต่ยังคงพลังทำลายล้างของปืนใหญ่ไว้ หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สนธิสัญญาแวร์ซายจำกัดขนาดเรือรบของเยอรมนี แต่กองทัพเรือเยอรมันฉลาดแกมโกง พวกเขาสร้าง เรือชั้นดอยช์แลนด์ ที่ดูเหมือนจะอยู่ในกรอบข้อจำกัด แต่แอบซ่อนพลังที่เหนือกว่ามาตรฐาน

960px Admiral Scheer in Gibraltar
เรือ Admiral Scheer at Gibraltar in 1936 ภาพโดย กองทัพเรือสหรัฐฯ

เรือชั้นดอยช์แลนด์ ซึ่งต่อขึ้นในช่วงระหว่างสงครามโลก มีระวางขับน้ำบนเอกสารเพียง 10,000 ตัน แต่ในความเป็นจริง ขนาดและจำนวนลูกเรือกลับละเมิดสนธิสัญญา ติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 11 นิ้ว ทำให้มันมีพลังทำลายล้างมหาศาลเมื่อเทียบกับขนาดที่เล็ก อังกฤษถึงกับตั้งฉายาให้ว่า เรือประจัญบานขนาดเล็ก ด้วยความเร็วและพลังปืน ทำให้เรือเหล่านี้กลายเป็นนักล่าที่น่ากลัวในท้องทะเล

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ปะทุในปี 1939 นาซีเยอรมนีส่ง Admiral Graf Spee เรือลำที่สามในชั้นดอยช์แลนด์ ออกล่าเรือสินค้าในแอตแลนติกตอนใต้ มันประสบความสำเร็จอย่างมากในการโจมตี จนกระทั่งถูกตรวจพบโดยหมู่เรือลาดตระเวนอังกฤษ 3 ลำ ศึกครั้งนี้เริ่มต้นด้วยการยิงจากฝ่ายอังกฤษ แต่ Admiral Graf Spee ตอบโต้อย่างดุเดือด ขับไล่เรืออังกฤษทั้งสามลำได้ในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง

แต่ชัยชนะนั้นมาพร้อมราคา Admiral Graf Spee ได้รับความเสียหายและต้องหลบไปซ่อมแซมที่ปากแม่น้ำมอนเตวิเดโอ พร้อมส่งลูกเรือที่บาดเจ็บขึ้นฝั่ง ราชนาวีอังกฤษฉวยโอกาสนี้ ใช้กลยุทธ์สงครามจิตวิทยา ส่งสัญญาณลวงให้ Admiral Graf Spee ดักฟัง ทำให้ นาวาเอก ฮันส์ วิลเฮล์ม แลงส์ดอร์ฟ ผู้บังคับการเรือ หลงเชื่อว่ากองเรือขนาดใหญ่ของอังกฤษกำลังมุ่งหน้ามาโจมตี

เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ดูเหมือนไร้ทางออก นาวาเอกแลงส์ดอร์ฟตัดสินใจครั้งสุดท้ายที่สะเทือนใจ ในวันที่ 18 ธันวาคม 1939 เขาสั่งจม Admiral Graf Spee ลงสู่ก้นสมุทร เพื่อไม่ให้ตกอยู่ในมือข้าศึก โศกนาฏกรรมครั้งนี้กลายเป็นจุดจบของหนึ่งในนักล่าแห่งแอตแลนติก

📒 เรือลาดตระเวนชั้นติคอนเดอโรกา  ผู้พิทักษ์แห่งมหาสมุทรและโศกนาฏกรรมแห่งความผิดพลาด

ยุคสงครามเย็น ที่ซึ่งภัยคุกคามจากท้องฟ้ากลายเป็นความท้าทายครั้งใหม่ของกองทัพเรือ และพบกับเรือรบที่ถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องกองเรือจากอันตรายในอากาศ นั่นคือ เรือลาดตระเวนชั้นติคอนเดอโรกา(TICONDEROGA-CLASS)

960px US Navy 030903 N 5024R 003 USS Port Royal %28DDG 73%29 departed on deployment
ยูเอสเอส พอร์ตรอยัล (CG-73)เรือลาดตระเวนชั้นติคอนเดอโรกา ภาพโดย กองทัพเรือสหรัฐ

ในช่วงสงครามเย็น เครื่องบินโจมตีคือฝันร้ายของเรือรบ การป้องกันภัยทางอากาศกลายเป็นหัวใจสำคัญของความอยู่รอด และ เรือลาดตระเวนชั้นติคอนเดอโรกา ก็ก้าวขึ้นมาเป็นบอดี้การ์ดแห่งมหาสมุทร ด้วยบทบาทในหมู่เรือบรรทุกเครื่องบิน เรือชั้นนี้ไม่เพียงแค่ปกป้องกองเรือจากเครื่องบินและขีปนาวุธของข้าศึก แต่ยังสามารถโจมตีเป้าหมายบนบก ในทะเล และในอากาศได้อย่างแม่นยำ

หัวใจของเรือติคอนเดอโรกาคือ ระบบเรดาร์เอจิส อันทรงพลัง ที่สามารถติดตามเป้าหมายและนำวิถีขีปนาวุธนำวิถีถึง 122 ลูก เพื่อสกัดกั้นภัยคุกคามได้อย่างรวดเร็ว ด้วยความเร็วเกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเกราะเฟสล่าที่ปกป้องส่วนสำคัญของเรือ มันไม่จำเป็นต้องพึ่งเกราะหนักแบบเรือประจัญบานในอดีต แต่ใช้เทคโนโลยีสงครามอิเล็กทรอนิกส์ที่ล้ำสมัย ทำให้มันเป็นนักรบที่พร้อมสำหรับศตวรรษที่ 21

แต่ท่ามกลางความยิ่งใหญ่ของเทคโนโลยี กลับเกิดโศกนาฏกรรมที่ไม่มีใครคาดคิด ในปี 1988 ยูเอสเอส วินเซนส์ เรือลาดตระเวนชั้นติคอนเดอโรกา หลงเข้าไปในน่านน้ำอิหร่านขณะปะทะกับเรือปืนของข้าศึก ในความสับสนวุ่นวาย ผู้บังคับการเรือเชื่อว่าเป้าหมายที่กำลังเข้ามาคือเครื่องบินขับไล่ของศัตรู จึงสั่งยิงขีปนาวุธ แต่เมื่อความจริงเปิดเผย… มันไม่ใช่เครื่องบินรบ แต่เป็นเครื่องบินโดยสารที่มีผู้โดยสาร 290 ชีวิต และไม่มีใครรอดชีวิต

960px USS Vincennes returns to San Diego Oct 1988
ยูเอสเอส วินเซนส์ เรือลาดตระเวนชั้นติคอนเดอโรกา USS Vincennes in San Diego on 24 October 1988 ภาพโดย กองทัพเรือสหรัฐ

บางคนโทษความผิดพลาดนี้ว่าเป็นเพราะความกระตือรือร้นเกินไปของผู้บังคับการ บ้างก็ชี้ว่า ระบบเอจิส ที่ซับซ้อนเกินไปอาจตีความสัญญาณผิดพลาด โดยแปลเป้าพลเรือนว่าเป็นภัยคุกคามทางทหาร โศกนาฏกรรมครั้งนี้กลายเป็นบทเรียนราคาแพงในประวัติศาสตร์ของกองทัพเรือ

ถึงอย่างนั้น เรือชั้นติคอนเดอโรกายังคงเป็นสัญลักษณ์ของนวัตกรรมและความแข็งแกร่ง ด้วยเทคโนโลยีที่สืบทอดจากเรือลาดตระเวนประจัญบานในอดีต และประวัติการรบที่เข้มข้น เรือชั้นนี้ยังคงมีบทบาทสำคัญในการปกป้องกองเรือและฉายแสงในสงครามสมัยใหม่

📒 เรือพิฆาต จากนักล่าตอร์ปิโดสู่นักฆ่าเรือดำน้ำแห่งแอตแลนติก

เรือรบที่เริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ แต่กลายเป็นหนึ่งในอาวุธที่น่าเกรงขามที่สุดในท้องทะเล นั่นคือ เรือพิฆาต

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เมื่อเรือประจัญบานยักษ์ใหญ่ครองท้องทะเล ภัยคุกคามใหม่ที่เล็กกว่าและเร็วกว่าก็ปรากฏตัว จากจุดเริ่มต้นในฐานะ นักฆ่าเรือตอร์ปิโด เรือพิฆาตได้วิวัฒนาการกลายเป็นกำลังสำคัญของกองทัพเรือ ด้วยความคล่องตัวและพลังโจมตีที่ไว้ใจได้ โดยเฉพาะในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สมรภูมิแอตแลนติกกลายเป็นสนามรบแห่งความเป็นความตาย

960px HMS Kent%2C Portsmouth Navy Yards%2C July 1989
เรือพิฆาตระดับเคาน์ตี้ – County-class destroyer (HMS Kent at Portsmouth in 1989) ภาพโดย Barry Lewis

ในปี 1942 เพียงปีเดียว ฝ่ายสัมพันธมิตรสูญเสียเรือลำเลียงถึง 1,664 ลำให้กับกองเรือดำน้ำ U-Boat ของนาซีเยอรมนี การโจมตีทั้งจากอากาศและใต้น้ำของฝ่ายอักษะทำลายเรือเสบียงที่จำเป็นต่อการรบและความอยู่รอดของอังกฤษ เพื่อปกป้องกองเรือ ราชนาวีอังกฤษจึงนำเรือพิฆาตจากยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 และหลังจากนั้นกลับเข้าประจำการ แม้ในช่วงแรกจะล้าสมัยเมื่อเทียบกับ U-Boat และเครื่องบินรบเยอรมัน แต่เรือพิฆาตเหล่านี้เริ่มได้รับการอัปเกรดครั้งใหญ่

เรือพิฆาตอังกฤษถูกติดตั้งปืนต่อสู้อากาศยานที่ทรงพลังกว่า ท่อตอร์ปิโด และรางปล่อย ลูกระเบิดน้ำลึก อาวุธที่ออกแบบมาเพื่อล่าเรือดำน้ำ ราชนาวีอังกฤษปล่อยลูกระเบิดน้ำลึกกว่า 20,000 ลูก จมเรือผิวน้ำและใต้น้ำของฝ่ายอักษะได้มากกว่า 1,050 ลำ และเมื่อสงครามดำเนินต่อไป อังกฤษเริ่มโครงการฉุกเฉินเพื่อสร้างเรือพิฆาตรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนบทบาทจากแค่เรือคุ้มกัน มาเป็น นักล่าสังหาร U-Boat ตัวจริง

ด้วยเทคโนโลยี โซนาร์ และ เรดาร์ ที่พัฒนาขึ้น เรือพิฆาตสามารถตรวจจับและตอบโต้ภัยคุกคามได้อย่างแม่นยำ เครื่องยิงลูกระเบิดปราบเรือดำน้ำกลายเป็นอาวุธคู่ใจ ทำให้กองเรือพิฆาตของฝ่ายสัมพันธมิตรค่อย ๆ ลดอิทธิพลของ U-Boat ในแอตแลนติกลงได้ จากการสูญเสียเรือพิฆาต 51 ลำในปี 1942 ภายในเวลาเพียง 3 ปี ตัวเลขนี้ลดลงเหลือเพียง 2 ลำเท่านั้น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความกล้าหาญของลูกเรือทำให้เรือพิฆาตกลายเป็นนักรบที่น่าเกรงขามจนกว่าสงครามจะสงบ

📒 ตอร์ปิโดและการกำเนิดของเรือพิฆาต การปฏิวัติสงครามทางเรือ

ปลายศตวรรษที่ 19 จุดเปลี่ยนสำคัญของสงครามทางเรือ เมื่อนวัตกรรมใหม่ที่เรียกว่า ตอร์ปิโด ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของสมรภูมิ และนำไปสู่การกำเนิดของ เรือพิฆาต

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 วิศวกรชาวอังกฤษได้สร้างอาวุธที่เปลี่ยนเกมสงครามไปตลอดกาล นั่นคือ ตอร์ปิโดไวท์เฮด อาวุธขนาดเล็กแต่ทรงพลังที่สามารถจมเรือประจัญบานยักษ์ใหญ่ได้ในพริบตา ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์อัดอากาศและใบพัด ตอร์ปิโดนี้พุ่งไปในน้ำด้วยความเร็วเกือบ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีระยะทำการถึง 700 เมตร ทำให้เรือประจัญบานที่เคยยิ่งใหญ่ต้องเผชิญภัยคุกคามจากศัตรูที่เล็กกว่าและเร็วกว่ามาก

Mark III Whitehead Torpedo fired from East Dock%2C Goat Island%2C Newport Torpedo Station%2C Rhode Island%2C 1894.
ตอร์ปิโดไวท์เฮด Mk3 Whitehead torpedo fired from East Dock, Goat Island, Newport Torpedo Station, Rhode Island, 1894 ภาพโดย กองทัพเรือสหรัฐฯ

ภัยคุกคามนี้มาจาก เรือเร็วโจมตีตอร์ปิโด ซึ่งติดตั้งท่อยิงตอร์ปิโดหลายท่อ ด้วยความเร็วและความคล่องตัวที่เหนือกว่าเรือประจัญบานยักษ์ใหญ่ เรือเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเป็นจำนวนมาก ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่ทำให้มันกลายเป็นนักล่าที่น่ากลัวในท้องทะเล การปรากฏตัวของตอร์ปิโดและเรือเร็วทำให้กองทัพเรือทั่วโลกต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน

เพื่อรับมือกับภัยคุกคามนี้ กองทัพเรือจึงพัฒนาเรือรบประเภทใหม่ที่ทั้งเร็ว คล่องตัว และมีระยะปฏิบัติการไกล เพื่อปกป้องกองเรือจากเรือตอร์ปิโดขนาดเล็ก นี่คือจุดกำเนิดของ เรือพิฆาต เรือพิฆาตถูกออกแบบมาให้เป็นนักล่าที่สามารถไล่ตามและทำลายเรือเร็วโจมตีได้ พร้อมทั้งคุ้มครองเรือใหญ่ในกองเรือจากการถูกโจมตี มันคือผู้พิทักษ์แห่งมหาสมุทรที่รวมความเร็วและพลังเข้าไว้ด้วยกัน

จากจุดเริ่มต้นของตอร์ปิโดไวท์เฮด สงครามทางเรือได้เปลี่ยนไปตลอดกาล จากเรือประจัญบานที่ครองท้องทะเล กลายมาเป็นการต่อสู้ที่เน้นความเร็วและกลยุทธ์ และเรือพิฆาตก็กลายเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่กำหนดชะตาของกองทัพเรือในศตวรรษต่อมา

📒 เรือพิฆาตสี่ปล่อง นักล่าแห่งท้องทะเลในสงครามโลก

ในสมรภูมิร้อนระอุของสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 มาพบกับเรือรบที่เกิดมาเพื่อต่อกรกับภัยคุกคามจากใต้น้ำ นั่นคือ เรือพิฆาตสี่ปล่อง หรือ American Four-Stack Destroyers ผู้พิทักษ์แห่งท้องทะเล

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มต้น ตอร์ปิโดกลายเป็นอาวุธร้ายแรงของเรือดำน้ำ ทำให้เรือประจัญบานและขบวนเรือสินค้าต้องเผชิญภัยคุกคามจากใต้ผิวน้ำที่มองไม่เห็น เพื่อตอบโต้ภัยนี้ กองทัพเรือสหรัฐได้พัฒนาเรือรบสายพันธุ์ใหม่ในช่วงท้ายของสงคราม นั่นคือ เรือพิฆาตสี่ปล่อง ดัดแปลงจากเรือพิฆาตรุ่นเก่าอย่างคลาส Wickes และ Clemson เพื่อให้กลายเป็นเรือกวาดทุ่นระเบิดที่มีประสิทธิภาพ

960px USS Crowninshield %28DD 134%29 1939 1940
The Wickes-class destroyers : USS Crowninshield (DD-134) 1939-1940 ภาพโดย กองทัพเรือสหรัฐ

เรือพิฆาตสี่ปล่องถูกตั้งชื่อตามลักษณะเด่นที่มีปล่องควันสี่ปล่อง ขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรกังหันไอน้ำ ทำให้มีความเร็วสูงถึงสองเท่าของเรือดำน้ำ U-Boat เยอรมัน พวกมันสามารถปล่อยฉากควันเพื่อปกปิดขบวนเรือ ทำให้เรือดำน้ำมองไม่เห็นเป้าหมาย และเมื่อเผชิญหน้ากับ U-Boat เรือพิฆาตสี่ปล่องจะใช้ปืนเรือ ลูกระเบิดน้ำลึก และตอร์ปิโดเพื่อไล่ล่าอย่างไม่ลดละ

เรือเหล่านี้ถูกออกแบบมาให้ต่อสู้ได้ทั้งบนผิวน้ำและใต้น้ำ ไม่เพียงแค่ปกป้องขบวนเรือจากการโจมตีของเรือดำน้ำ แต่ยังกวาดทุ่นระเบิดแม่เหล็กและทุ่นระเบิดแบบสัมผัสที่ญี่ปุ่นทิ้งไว้ในมหาสมุทรแปซิฟิกในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ความสำเร็จในช่วงแรกทำให้เรือพิฆาตสี่ปล่องถูกสร้างขึ้นเป็นจำนวนมาก และหลายลำยังคงกลับเข้าประจำการในสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อต่อสู้ต่อไป

ด้วยความเร็ว ความคล่องตัว และพลังโจมตี เรือพิฆาตสี่ปล่องกลายเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยฝ่ายสัมพันธมิตรควบคุมภัยคุกคามจากเรือดำน้ำในแอตแลนติกและแปซิฟิก จากเรือที่ดัดแปลงมาจากรุ่นเก่า สู่การเป็นนักล่าที่น่าเกรงขาม พวกมันพิสูจน์ให้เห็นว่าแม้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็สามารถเปลี่ยนสมรภูมิได้

📒 เหตุการณ์อ่าวตังเกี๋ย จุดเริ่มต้นสงครามเวียดนามและความจริงที่ซ่อนไว้

ปี 1964 เหตุการณ์ในอ่าวตังเกี๋ย ที่ซึ่งการปะทะระหว่างเรือพิฆาตสหรัฐและเรือตอร์ปิโดเวียดนามเหนือกลายเป็นชนวนจุดไฟสงครามเวียดนาม อันนำไปสู่ความสูญเสียครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์

769px USS Mannert L. Abele %28DD 733%29 underway at sea on 1 August 1944 %2880 G 382764%29
เรือ USS Mannert L. Abele (DD-733)เป็นเรือพิฆาตระดับAllen M. Sumner ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ภาพโดย กองทัพเรือสหรัฐ

ในปี 1964 ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและเวียดนามเหนือถึงจุดเดือด กองทัพเรือสหรัฐส่งเรือพิฆาตออกปฏิบัติภารกิจเก็บข้อมูลนอกน่านน้ำอาณาเขตของเวียดนาม และในวันที่ 2 กันยายน 1964 ยูเอสเอส แมนเนิร์ต แอล. อาเบล เรือพิฆาตคลาส Allen M. Sumner รายงานทางวิทยุว่าถูกโจมตีโดยเรือตอร์ปิโดของเวียดนามเหนือ เรือบรรทุกเครื่องบิน ติคอนเดอโรกา ที่อยู่ใกล้เคียงรีบส่งเครื่องบินขับไล่ 4 ลำมาช่วย ขณะที่ แมนเนิร์ต แอล. อาเบล ระดมยิงกระสุนกว่า 280 นัดใส่เรือเวียดนามอย่างไม่ยั้ง

USS Lyman K. Swenson %28DD 729%29 underway in Manila Bay%2C in 1955
USS Lyman K. Swenson in 1955 เรือพิฆาตชั้นอัลเลน เอ็ม. ซัมเนอร์ (Allen M. Sumner-class destroyer) กองทัพเรือสหรัฐ

ได้รับการสนับสนุนจากเรือพิฆาตอีกลำ แมนเนิร์ต แอล. อาเบล ยังคงปฏิบัติภารกิจเก็บข้อมูลต่อไป แต่เพียง 2 วันต่อมา ทั้งสองลำอ้างว่าถูกโจมตีอีกครั้ง ภายใน 30 นาทีหลังได้รับรายงาน ประธานาธิบดี ลินดอน บี. จอห์นสัน ตัดสินใจตอบโต้ทันทีด้วยการโจมตีทางอากาศจากเครื่องบินรบของเรือ ติคอนเดอโรกา การโจมตีนี้เป็นคำเตือนชัดเจนถึงฝ่ายคอมมิวนิสต์ว่าการกระทำเช่นนี้จะไม่ถูกละเลย

USS Ticonderoga %28CVA 14%29 refueling from USS Ashtabula %28AO 51%29 off Vietnam c1966
USS Ticonderoga refueling off the coast of Vietnam in 1966 ภาพโดย กองทัพเรือสหรัฐ

เหตุการณ์ในอ่าวตังเกี๋ยกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่นำสหรัฐเข้าสู่สงครามเวียดนาม การรบที่ยืดเยื้อนานกว่า 10 ปี และคร่าชีวิตผู้คนกว่า 3 ล้านคน แต่ท่ามกลางความโกลาหล เรื่องราวที่แท้จริงค่อย ๆ ถูกเปิดเผยในภายหลังว่า… การโจมตีครั้งที่สองอาจไม่เคยเกิดขึ้นจริง

เครื่องโซนาร์และเรดาร์ของเรือพิฆาตอ่านค่าสัญญาณผิดพลาด ซึ่งต่อมาถูกอ้างว่าเป็นผลจากสภาพอากาศ รายงานที่คลาดเคลื่อนนี้ถูกเก็บเป็นความลับมานาน จนกระทั่งความจริงถูกเปิดเผยในปี 2005 ความผิดพลาดนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่นำไปสู่สงครามอันนองเลือด และทิ้งรอยแผลไว้ในประวัติศาสตร์

📒 เรือพิฆาตชั้นเฟล็ตเชอร์ วีรบุรุษแห่งแปซิฟิกในสงครามโลกครั้งที่ 2

สมรภูมิอันดุเดือดในมหาสมุทรแปซิฟิกช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พบกับเรือรบที่กลายเป็นตำนานและวีรบุรุษของกองทัพเรือสหรัฐ นั่นคือ เรือพิฆาตชั้นเฟล็ตเชอร์(FLETCHER-CLASS)

800px USS Erben %28DD 631%29 underway the 1950s
เรือพิฆาตคลาส เฟล็ตเชอร์( Fletcher-class destroyer) USS Erben (DD-631) underway the 1950s ภาพโดย BMCS Richard Miller, U.S. Navy

เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 1941 การโจมตีที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ทำลายกองเรือแปซิฟิกของสหรัฐอย่างยับเยิน ทรัพยากรสงครามของสหรัฐจึงถูกระดมอย่างเต็มที่เพื่อสร้าง เรือพิฆาตชั้นเฟล็ตเชอร์ ถึง 175 ลำ ระหว่างปี 1942 ถึง 1944 เรือเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโต้ภัยคุกคามที่รุนแรง โดยเฉพาะการโจมตีทางอากาศจากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญที่สอนให้วิศวกรและนักออกแบบต้องคิดใหม่

เรือพิฆาตชั้นเฟล็ตเชอร์เป็นเรือรบชุดแรกที่ติดตั้ง เรดาร์อากาศ และ เรดาร์ผิวน้ำ ทำให้สามารถตรวจจับการโจมตีจากทั้งเครื่องบินและเรือข้าศึกได้ก่อนที่จะสายเกินไป ด้วยความเร็วและความคล่องตัวในมหาสมุทรแปซิฟิกอันกว้างใหญ่ เรือชั้นนี้กลายเป็นกำลังสำคัญที่พร้อมถูกส่งเข้าสู่สมรภูมิทันทีเมื่อมีการร้องขอ ไม่ว่าจะเป็นการคุ้มกันเรือรบหลักหรือปฏิบัติการรบโดยตรง

ติดตั้งป้อมปืนลำกล้องเดี่ยวขนาด 5 นิ้วถึง 5 ป้อม เรือชั้นเฟล็ตเชอร์สามารถยิงกระสุนหนัก 24 กิโลกรัมเพื่อกำจัดเครื่องบินข้าศึกในพริบตา หรือให้การสนับสนุนการยกพลขึ้นบกด้วยการระดมยิงเป้าหมายบนฝั่ง ความอเนกประสงค์นี้ทำให้เรือพิฆาตชั้นเฟล็ตเชอร์กลายเป็นวีรบุรุษที่ขาดไม่ได้ในสมรภูมิแปซิฟิก

จากเรือที่ถูกออกแบบมาเพื่อคุ้มกัน กลายเป็นนักรบที่แข็งแกร่งและไว้ใจได้ในทุกภารกิจ ด้วยจำนวนมากถึง 175 ลำ เรือชั้นเฟล็ตเชอร์ช่วยพลิกสถานการณ์ในสงครามแปซิฟิก และกลายเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญและนวัตกรรมของกองทัพเรือสหรัฐ

📒 ยุทธนาวีอ่าวเลย์เต วีรกรรมของเรือพิฆาตชั้นเฟล็ตเชอร์และจุดจบของกองทัพเรือญี่ปุ่น

เดือนตุลาคม ปี 1944 สู่ ยุทธนาวีอ่าวเลย์เต การรบทางเรือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และบทบาทอันกล้าหาญของ เรือพิฆาตชั้นเฟล็ตเชอร์ ที่กลายเป็นวีรบุรุษแห่งมหาสมุทร

960px USS Princeton %28CVL 23%29 burning on 24 October 1944 %2880 G 287970%29
เรือบรรทุกอากาศยานเบา พรินซ์ตัน กำลังเกิดเพลิงไหม้ ทางตะวันออกของเกาะลูซอนในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1944 ภาพโดย U.S. Navy photo 80-G-287970

ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 จักรวรรดิญี่ปุ่นอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง พวกเขาพยายามครั้งสุดท้ายเพื่อกวาดล้างกองเรือแปซิฟิกของสหรัฐและหยุดยั้งการรุกของฝ่ายสัมพันธมิตรที่ฟิลิปปินส์ การรบครั้งนี้มีเรือรบถึง 280 ลำเข้าร่วม โดยครึ่งหนึ่งเป็นเรือพิฆาตและเรือคุ้มกัน และเมื่อญี่ปุ่นใช้กลยุทธ์ กามิกาเซ หรือเครื่องบินฆ่าตัวตายเป็นครั้งแรก สมรภูมิกลายเป็นนรกบนผิวน้ำ

Kamikaze WW2 USN
กามิกาเซ หรือเครื่องบินฆ่าตัวตาย Kamikaze WW2 ภาพโดย United States Department of the Navy

ท่ามกลางห่ากระสุน ระเบิด และเครื่องบินที่พุ่งลงมา เรือพิฆาตชั้นเฟล็ตเชอร์ ยืนหยัดเป็นแนวป้องกันสำคัญ โดยจัดรูปขบวนฉากป้องกันล้อมรอบเรือประจัญบานและเรือบรรทุกเครื่องบิน พวกมันต่อสู้อย่างกล้าหาญ ปกป้องกองเรือจากการโจมตีที่รุนแรงของกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งเดิมพันด้วยเรือรบเกือบทั้งหมดที่มี

แต่ยุทธนาวีอ่าวเลย์เตกลายเป็นความพ่ายแพ้ครั้งยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่น การสูญเสียครั้งนี้ทำลายขีดความสามารถของกองทัพเรือญี่ปุ่นอย่างสิ้นเชิง ทำให้พวกเขาไม่สามารถรบด้วยกำลังทางเรือขนาดใหญ่ได้อีกต่อไป ชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรในศึกนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำไปสู่การสิ้นสุดของสงครามในแปซิฟิก

960px Mamoru Shigemitsu signs the Instrument of Surrender%2C officially ending the Second World War
มาโมรุ ชิเงมิตสึ รัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่น ลงนามตราสารยอมจำนนของญี่ปุ่น บนเรือยูเอสเอส มิสซูรี ขณะที่พลเอก ริชาร์ด เค. ซูเธอร์แลนด์ มองจากฝั่งตรงข้าม ภาพโดย Army Signal Corps photographer LT. Stephen E. Korpanty; restored by Adam Cuerden

และเมื่อถึงวันที่ 2 เดือนกันยายน 1945 เมื่อสงครามใกล้สิ้นสุด พลเรือเอก วิลเลียม ฮอลซี จูเนียร์ เลือกเรือพิฆาตชั้นเฟล็ตเชอร์ที่ได้รับเหรียญเกียรติยศมากที่สุด 3 ลำ ได้แก่ ยูเอสเอส เทเลอร์, ยูเอสเอส นิโกลัส และ ยูเอสเอส โอแบนนอน เพื่อคุ้มกัน ยูเอสเอส มิสซูรี เข้าสู่อ่าวโตเกียวสำหรับพิธีรับการยอมจำนนของญี่ปุ่น บทบาทอันทรงเกียรตินี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเรือพิฆาตชั้นเฟล็ตเชอร์ในการนำชัยชนะมาสู่ฝ่ายสัมพันธมิตร

📒 ยูเอสเอส เอนเทอร์ไพรซ์  ตำนานแห่งเรือบรรทุกเครื่องบินพลังนิวเคลียร์

ขึ้นสู่ดาดฟ้าของเรือรบที่เปลี่ยนโฉมหน้าของสงครามทางทะเล และกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งพลังของกองทัพเรือสหรัฐ นั่นคือ เรือ ยูเอสเอส เอนเทอร์ไพรซ์ (USS Enterprise CVN-65) เรือบรรทุกเครื่องบินพลังนิวเคลียร์ลำแรกของโลก

960px USS Enterprise %28CVN 65%29 underway in the Atlantic Ocean on 14 June 2004 %28040614 N 0119G 020%29
ยูเอสเอส เอนเทอร์ไพรซ์ ขณะเดินเรือในมหาสมุทรแอตแลนติก ยูเอสเอส เอนเทอร์ไพรซ์ (CVN-65) :USS Enterprise (CVN-65) underway in the Atlantic Ocean on 14 June 2004 ภาพโดย : U.S. Navy photo by Photographer’s Mate Airman Rob Gaston

เมื่อมนุษย์เริ่มบินได้ อากาศยานกลายเป็นอาวุธสำคัญในสงครามทางทะเล ด้วยพลังทำลายล้างจากฝูงเครื่องบินที่เหนือกว่าปืนใหญ่ของเรือประจัญบาน ทำให้ เรือบรรทุกเครื่องบิน ขึ้นแท่นเป็นเรือรบหลักของกองทัพเรือ และในบรรดาเรือเหล่านี้ ยูเอสเอส เอนเทอร์ไพรซ์ คือสุดยอดเครื่องจักรสงคราม ฐานบินลอยน้ำที่สามารถปฏิบัติภารกิจโจมตีและป้องกันได้ทุกที่ทั่วโลก

เรือลำนี้มีความยาวถึง 372 เมตร ใช้เหล็กกล้ามากกว่าที่ใช้สร้างตึกสูงเสียดฟ้า ทำให้มันเป็นเรือรบที่ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ ขับเคลื่อนด้วยเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 8 เตา ให้พลังถึง 280,000 แรงม้า เอนเทอร์ไพรซ์ ไม่ใช่แค่เรือ แต่เป็นโรงงานนิวเคลียร์ลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อเข้าประจำการในปี 1962 ขณะที่เรือบรรทุกเครื่องบินทั่วไปต้องเติมเชื้อเพลิงทุก 3 วัน เอนเทอร์ไพรซ์ สามารถแล่นต่อเนื่องได้นานถึง 3 ปีโดยไม่ต้องเติมเชื้อเพลิง

ในสงครามเวียดนาม ยูเอสเอส เอนเทอร์ไพรซ์ กลายเป็นเรือรบพลังนิวเคลียร์ลำแรกที่เข้าสู่การรบจริง ด้วยสถิติที่น่าทึ่ง ปฏิบัติภารกิจบินโจมตีถึง 165 เที่ยวในวันเดียว เครื่องบินจากดาดฟ้าของมันพุ่งทะยานสู่เป้าหมาย กลายเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจทางอากาศที่ไม่อาจต้านทานได้

960px USS Enterprise %28CVAN 65%29%2C USS Long Beach %28CGN 9%29 and USS Bainbridge %28DLGN 25%29 underway in the Mediterranean Sea during Operation Sea Orbit%2C in 1964
Task Force One กองเรือนิวเคลียร์กองแรกของโลกประกอบด้วย USS Enterprise USS Long Beach USS Bainbridge ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน 18 มิถุนายน 1964 โดยบนเรือ USS Enterprise ลูกเรือเข้าแถวเรียงเป็นสูตรสมการ E=mc² ของไอน์สไตน์บนดาดฟ้าเรือ ภาพโดย U.S. Navy

หลังจากรับใช้ชาติมานานถึง 50 ปี เอนเทอร์ไพรซ์ ถูกปลดระวางในปี 2013 ถือเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินที่ประจำการยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ ลูกเรือของมันยึดมั่นในคำขวัญว่า “เราคือตำนาน” และชื่อของ เอนเทอร์ไพรซ์ ก็ยังคงเป็นตำนานที่ก้องอยู่ในใจของกองทัพเรือสหรัฐ

📒 กำเนิดเรือบรรทุกเครื่องบิน  ความกล้าที่เปลี่ยนสงครามทางทะเล

ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติสงครามทางเรือ เมื่ออากาศยานกลายเป็นอาวุธสำคัญ และ เรือบรรทุกเครื่องบิน ถือกำเนิดขึ้นจากความกล้าหาญของนักบินคนหนึ่ง

นับตั้งแต่ที่มนุษย์เริ่มบินได้ อากาศยานได้เปลี่ยนโฉมหน้าของสงครามทางเรือ ด้วยพลังทำลายล้างและความสามารถในการโจมตีจากฟากฟ้า แต่ปัญหาคือเชื้อเพลิงที่จำกัดระยะทำการของเครื่องบิน ทำให้กองทัพเรือต้องหาวิธีส่งเครื่องบินไปถึงเขตการรบในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ นี่คือที่มาของแนวคิด ฐานบินลอยน้ำ หรือเรือบรรทุกเครื่องบิน ที่จะกลายเป็นหัวใจของสงครามทางทะเลในอนาคต

b234290bdef5dabc64f71c0fc6671827 high
กำเนิดเรือบรรทุกเครื่องบิน ความกล้าที่เปลี่ยนสงครามทางทะเล ภาพนี้ถูกสร้างขึ้นโดย AI

ในเดือนสิงหาคม ปี 1917 นักบินแห่งราชนาวีอังกฤษคนหนึ่งได้สร้างประวัติศาสตร์ เขาคือชายผู้กล้าที่นำเครื่องบินลงจอดบนดาดฟ้าเรือที่กำลังเคลื่อนที่เป็นครั้งแรก การลงจอดครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าเรือสามารถเป็นฐานบินเคลื่อนที่ได้จริง เปลี่ยนกฎของสงครามทางเรือไปตลอดกาล แต่โศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้น เมื่อเขาพยายามทำซ้ำและเสียชีวิตในการลงจอดครั้งต่อมา ความกล้าหาญของเขาไม่ได้สูญเปล่า เพราะมันปูทางให้กับการพัฒนาเรือบรรทุกเครื่องบินที่ทรงพลังในเวลาต่อมา

จากความพยายามของนักบินผู้นี้ ราชนาวีอังกฤษและกองทัพเรือทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงศักยภาพของเรือบรรทุกเครื่องบิน มันไม่ใช่แค่เรือรบ แต่เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถส่งกองกำลังทางอากาศไปยังทุกมุมของมหาสมุทร กลายเป็นกำลังสำคัญในสงครามโลกครั้งที่ 2 และต่อเนื่องมาจนถึงยุคสมัยใหม่

📒 จากเรือสินค้าสู่เรือบรรทุกเครื่องบิน ตำนานของยูเอสเอส แลงลีย์และชั้นเล็กซิงตัน

ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติสงครามทางเรือ เมื่อกองทัพเรือสหรัฐเปลี่ยนเรือสินค้าให้กลายเป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน และวางรากฐานให้กับเรือรบที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ นั่นคือ ยูเอสเอส แลงลีย์ และเรือชั้น เล็กซิงตัน

ในช่วงหลังจากที่มนุษย์เริ่มบินได้ อากาศยานกลายเป็นอาวุธสำคัญในสงครามทางทะเล แต่การจะส่งเครื่องบินไปรบในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย ทางออกคือการสร้าง ฐานบินลอยน้ำ และในอีกฟากหนึ่งของแอตแลนติก กองทัพเรือสหรัฐเริ่มทดลองโดยการดัดแปลงเรือสินค้าให้กลสู่เรือบรรทุกเครื่องบินลำแรก นั่นคือ เรือ ยูเอสเอส แลงลีย์(USS Langley (CV-1))

960px USS Langley %28CV 1%29 underway in June 1927 %28cropped%29
USS Langley (CV-1) underway in June 1927 เป็นเรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา ตั้งชื่อตามชื่อของแซมมวล เพียร์พอนด์ แลงลีย์ นักดาราศาสตร์และนักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน ภาพโดย กองทัพเรือสหรัฐ

ยูเอสเอส แลงลีย์ ถูกติดตั้งดาดฟ้าบินบนโครงสร้างเดิมของเรือสินค้า แต่ดาดฟ้าสั้นเกินไปสำหรับเครื่องบินที่จะทำความเร็วเพื่อบินขึ้น นักวิศวกรจึงพัฒนา เครื่องดีดส่งด้วยดินปืน เพื่อช่วยส่งเครื่องบินให้ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า และยังบุกเบิก ระบบรับเครื่องบิน ด้วยการใช้ตะขอใต้เครื่องบินเกี่ยวลวดที่ขึงบนดาดฟ้า พร้อมถุงทรายทั้งสองข้างเพื่อชะลอเครื่องบินให้หยุดก่อนถึงปลายดาดฟ้า นวัตกรรมเหล่านี้คือก้าวแรกของเทคโนโลยีเรือบรรทุกเครื่องบิน

960px USS Lexington %28CV 2%29 launching Martin T4M torpedo planes%2C in 1931 %28NH 82117%29
ยูเอสเอส เล็กซิงตัน (CV-2) USS Lexington (CV-2) launching Martin T4M torpedo planes, in 1931 ภาพโดย U.S. Navy photo NH 82117

ในปี 1925 กองทัพเรือสหรัฐก้าวไปอีกขั้นด้วยการสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ นั่นคือเรือชั้น เล็กซิงตัน ซึ่งประกอบด้วย เรือเล็กซิงตัน (Lexington class aircraft carrier) และ เรือ ยูเอสเอส ซาราโตกา (CV-3) – USS Saratoga (CV-3) เป็น เรือบรรทุกเครื่องบิน ชั้น Lexington

960px USS Saratoga %28CV 3%29 underway%2C circa in 1942 %2880 G K 459%29
USS Saratoga (CV-3) กำลังแล่นอยู่ระหว่างเดินทาง ราวปี 1942 หลังจากการซ่อมแซมเป็นเวลานาน ภาพโดย ภาพถ่ายกองทัพเรือสหรัฐ80-GK-459

เรือทั้งสองลำนี้กลายเป็นกำลังสำคัญในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่โชคชะตาของทั้งคู่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ยูเอสเอส เล็กซิงตัน ต้องจบชีวิตลงในการรบครั้งแรกที่เป็นการปะทะระหว่างเรือบรรทุกเครื่องบินในประวัติศาสตร์

960px USS Saratoga %28CV 3%29 sinking in Bikini Atoll lagoon on 25 July 1946 %28SC 259372%29
ยูเอสเอส ซาราโตกา (CV-3) ขณะกำลังอัปปาง on 25 July 1946 ภาพโดย U.S. Army Signal Corps photo SC 259372

ส่วน ยูเอสเอส ซาราโตกา รอดพ้นจากสงครามทั้งใบ ผ่านสมรภูมิอันดุเดือดมาได้ แต่สุดท้ายกลับพบจุดจบจากพลังงานเดียวกับที่ขับเคลื่อนเรือรบสมัยใหม่อย่าง ยูเอสเอส เอนเทอร์ไพรซ์ พลังนิวเคลียร์! ในการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ครั้งแรกหลังการทิ้งระเบิดที่นางาซากิ ซาราโตกา ถูกจมลงที่หมู่เกาะวงปะการังบิกินิ กลายเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดยุคหนึ่งและการเริ่มต้นของยุคใหม่

📒 ยูเอสเอส ฮอร์เน็ต ความกล้าท่ามกลางสงครามแปซิฟิก

สมรภูมิแปซิฟิกในสงครามโลกครั้งที่ 2 สู่เหตุการณ์ที่เปลี่ยนโฉมหน้าของสงคราม เมื่อ ยูเอสเอส ฮอร์เน็ต (CV-8) เรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐ กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการล้างแค้นด้วยการจู่โจมของดูลิตเติ้ล

Aft view of USS Hornet %28CV 8%29%2C circa in late 1941 %28NH 81313%29
ยูเอสเอส ฮอร์เน็ต CV-8 USS Hornet (CV-8), circa in late 1941 เป็นเรือบรรทุกอากาศยานของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ภาพโดย U.S. Navy photo NH 81313

วันที่ 7 ธันวาคม 1941 การโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์โดยญี่ปุ่นทำให้สหรัฐถูกดึงเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 มหาสมุทรแปซิฟิกกลายเป็นสนามรบ และ ยูเอสเอส ฮอร์เน็ต ซึ่งเพิ่งเข้าประจำการได้เพียง 7 สัปดาห์ ได้รับภารกิจสำคัญจากแผนของ พันโทเจมส์ เอช. ดูลิตเติ้ล นั่นคือการโจมตีทางอากาศครั้งแรกบนแผ่นดินญี่ปุ่น

หัวใจของภารกิจนี้คือเครื่องบินทิ้งระเบิด B-25 จำนวน 16 ลำบนดาดฟ้าของ เรือฮอร์เน็ต แต่ด้วยดาดฟ้าที่สั้นเกินไปสำหรับเครื่องบินขนาดใหญ่ นักวิศวกรต้องถอดอาวุธทุกชิ้นออกจากเครื่องบิน ลดลูกเรือเหลือเพียง 5 นายต่อลำ บรรทุกระเบิดแค่ 4 ลูก และลดเชื้อเพลิงให้เหลือน้อยที่สุดเพื่อลดน้ำหนัก ท่ามกลางลมทะเลที่พัดแรง เรือฮอร์เน็ต ต้องเลี้ยวเข้าหาคลื่นเพื่อให้เครื่องบินได้แรงยกสูงสุด และเมื่อคลื่นยกหัวเรือขึ้น ผู้ควบคุมการบินสั่งให้ B-25 ทะยานขึ้น เร็วกว่ากำหนดถึง 300 กิโลเมตร

960px B25 Mitchell Chino Airshow 2014 %2814033501440%29
เครื่องบินทิ้งระเบิด B-25 Mitchell A B-25J Mitchell over the Chino Airshow 2014 ภาพโดย Airwolfhound from Hertfordshire, UK

เครื่องบิน B-25 เดินทางถึงเป้าหมายยุทธศาสตร์ในญี่ปุ่น แต่ด้วยระยะที่ไกลเกินคาดและเชื้อเพลิงที่จำกัด ลูกเรือหลายคนต้องสละเครื่องบินหรือลงจอดฉุกเฉินในจีน การจู่โจมของพันโท ดูลิตเติ้ลครั้งนี้ไม่เพียงสร้างความตกใจให้ญี่ปุ่น แต่ยังจุดประกายขวัญกำลังใจให้ฝ่ายสัมพันธมิตรทั่วโลก

หลังภารกิจนี้ ยูเอสเอส ฮอร์เน็ต ยังคงรบต่อในสมรภูมิแปซิฟิก แต่โชคชะตากลับโหดร้าย ในเดือนตุลาคม 1942 เรือฮอร์เน็ต ถูกโจมตีอย่างหนักโดยเครื่องบินญี่ปุ่น และจมลงนอกหมู่เกาะซานตาครูส หลังรับใช้ชาติเพียง 1 ปี 6 วัน มันกลายเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินหลักลำสุดท้ายของสหรัฐที่ถูกข้าศึกจมในสงคราม

ถึงอายุการใช้งานจะสั้น แต่ ยูเอสเอส ฮอร์เน็ต ทิ้งมรดกแห่งความกล้าหาญและพลังไว้ในประวัติศาสตร์ ด้วยการจู่โจมของพันโทดูลิตเติ้ลและการต่อสู้ในแปซิฟิก มันพิสูจน์ว่าเรือบรรทุกเครื่องบินคือหัวใจของสงครามสมัยใหม่

📒 เรือชั้นฟอร์เรสตัล  ผู้บุกเบิกยุคไอพ่นแห่งท้องทะเล

เมื่อการมาถึงของเครื่องบินไอพ่นเปลี่ยนโฉมการรบ และนำไปสู่การกำเนิดของ เรือบรรทุกเครื่องบินชั้นฟอร์เรสตัล(Forrestal-Class) ผู้บุกเบิกที่ออกแบบมาเพื่อรองรับพลังแห่งยุคไอพ่น

960px USS Forrestal %28CV 59%29 underway at sea in 1987 %28NH 97657 KN%29
เรือบรรทุกเครื่องบินชั้นฟอร์เรสตัล ยูเอสเอส ฟอร์เรสตัล (CV-59) USS Forrestal (CV-59) underway at sea in 1987 ภาพโดย U.S. Navy photo NH 97657-KN

เมื่อเครื่องบินไอพ่นเข้ามามีบทบาทในสงคราม ด้วยความเร็วที่เหนือกว่า น้ำหนักมากกว่า และพลังที่รุนแรงกว่าเครื่องบินใบพัด กองทัพเรือต้องเผชิญความท้าทายใหม่ในการส่งเครื่องบินเหล่านี้สู่สมรภูมิ ทางออกคือเรือบรรทุกเครื่องบินที่ใหญ่ขึ้นและทันสมัยกว่า และในปี 1954 เรือชั้นฟอร์เรสตัล ได้ถือกำเนิดขึ้น เป็นเรือบรรทุกเครื่องบินชุดแรกที่ออกแบบมาเพื่อเครื่องบินไอพ่นอย่างแท้จริง

หัวใจสำคัญของเรือชั้นนี้คือ ดาดฟ้าเฉียง นวัตกรรมการออกแบบที่เรียบง่ายแต่เปลี่ยนเกมไปตลอดกาล ดาดฟ้าเฉียงให้ทางวิ่งที่ยาวขึ้นสำหรับเครื่องบินไอพ่นที่ต้องการระยะในการบินขึ้นและลงจอด และที่สำคัญ มันช่วยลดความเสี่ยงจากการลงจอดผิดพลาด ในอดีต นักบินเสียชีวิตจากการลงจอดมากกว่าการถูกข้าศึกยิงเสียอีก แต่ด้วยดาดฟ้าเฉียง ถ้าเครื่องบินเกี่ยวลวดรับไม่ได้ ก็สามารถยกเลิกการลงจอดและวนกลับมาลงใหม่ได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ต้องพึ่งรั้วกั้นที่ปลายดาดฟ้า

นอกจากนี้ เรือชั้นฟอร์เรสตัลยังนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใช้ เช่น เครื่องดีดส่งไอน้ำ นวัตกรรมจากอังกฤษที่ช่วยส่งเครื่องบินไอพ่นให้ทะยานขึ้นด้วยความเร็วสูง และ ระบบช่วยลงจอดด้วยแสงออปติก ที่ใช้กระจกเงาและสัญญาณไฟควบคุมด้วยไจโรสโคป ระบบนี้ฉาย ลูกบอลแสง เพื่อนำทางนักบินให้ลงจอดด้วยมุมร่อนที่ถูกต้อง แม้เรือจะโคลงเคลงในทะเลที่ปั่นป่วน ลูกบอลแสงจะเลื่อนขึ้นลงตามมุมร่อนของเครื่องบิน และเมื่อทุกอย่างลงตัว มันจะอยู่ในแนวเดียวกับไฟสัญญาณทั้งสองข้าง ช่วยให้นักบินลงจอดได้อย่างแม่นยำ

เรือชั้นฟอร์เรสตัลคือสุดยอดเทคโนโลยีของกองทัพเรือในยุคแรกของเครื่องบินไอพ่น ด้วยความสามารถในการปฏิบัติภารกิจทั้งโจมตีและป้องกัน มันรับใช้กองทัพเรือสหรัฐอย่างยาวนานถึง 37 ปี ก่อนถูกปลดระวางเพื่อให้เรือบรรทุกเครื่องบินพลังนิวเคลียร์รุ่นใหม่เข้ามาแทนที่ แต่ความยิ่งใหญ่ของฟอร์เรสตัลยังคงเป็นตำนานที่จุดประกายการพัฒนาเรือบรรทุกเครื่องบินสมัยใหม่

📒 เรือรบหลวงอาร์ครอยัล  ตำนานนักล่าเรือบิสมาร์คแห่งสงครามโลกครั้งที่ 2

สมรภูมิอันร้อนระอุของสงครามโลกครั้งที่ 2 พบกับเรือรบที่กลายเป็นวีรบุรุษของอังกฤษ นักล่าเรือดำน้ำ ผู้พิชิตเรือประจัญบาน และสัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญ นั่นคือ เรือรบหลวงอาร์ครอยัล (HMS Ark Royal)

960px HMS Ark Royal h79167
เรือบรรทุกเครื่องบิน HMS Ark Royal (91) ของกองทัพเรืออังกฤษ ถ่ายไว้เมื่อประมาณปี 1939 เครื่องบิน Fairey Swordfishกำลังบินขึ้นในขณะที่อีกลำกำลังบินเข้ามาจากท้ายเรือ มองเห็นเครื่องบินลำอื่นสองลำอยู่ด้านหลัง ภาพโดยภาพถ่ายอย่างเป็นทางการของกองทัพเรือสหรัฐฯหมายเลข NH 79167จากกองบัญชาการประวัติศาสตร์และมรดกทางทะเลของ กองทัพเรือสหรัฐฯ

ในช่วงที่การรบทางทะเลถึงจุดเดือด อาร์ครอยัล คือดาวเด่นของราชนาวีอังกฤษ ด้วยความยาว 800 ฟุต หรือราว 240 เมตร มันไม่ใช่แค่เรือ แต่เป็น ฐานบินลอยน้ำ ที่ทันสมัยที่สุดในโลก ปล่อยลงน้ำในปี 1937 อาร์ครอยัล เป็นเรือบรรทุกเครื่องบินที่ออกแบบมาโดยเฉพาะลำแรกของโลก และกลายเป็นต้นแบบให้เรือรบลำอื่น ๆ ในอนาคต

การออกแบบของ อาร์ครอยัล นั้นล้ำสมัย หอบังคับการถูกวางไว้ที่กาบขวา พร้อมตัวเรือที่ขยายออกเพื่อรักษาสมดุล ทำให้มีดาดฟ้าบินยาวถึง 240 เมตร รองรับเครื่องบินขับไล่และเครื่องบินทิ้งระเบิดได้ถึง 60 ลำ โครงสร้างส่วนบัญชาการและควบคุมการบินวางอยู่กลางลำ เพื่อให้เรือทรงตัวได้ดีและเพิ่มประสิทธิภาพของดาดฟ้าบิน นี่คือสุดยอดนวัตกรรมที่ทำให้ อาร์ครอยัล พร้อมสำหรับทุกสมรภูมิ

และแล้วชื่อของ อาร์ครอยัล ก็กลายเป็นตำนานใน ยุทธนาวีช่องแคบเดนมาร์ก หนึ่งในการรบครั้งสำคัญของสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อเรือประจัญบาน บิสมาร์ค ของเยอรมนี ซึ่งได้ชื่อว่าไม่มีวันจม จม เรือรบหลวงฮู้ด สัญลักษณ์แห่งเกียรติยศของอังกฤษ

ลูกเรือของ อาร์ครอยัล เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะล้างแค้นให้สหายที่เสียไป เมื่อตรวจพบตำแหน่งของ บิสมาร์ค อาร์ครอยัล ส่งเครื่องบินตอร์ปิโด Fairey Swordfish 15 ลำเข้าจู่โจม ท่ามกลางสภาพอากาศเลวร้าย ตอร์ปิโดลูกหนึ่งพุ่งชนกาบซ้ายของ บิสมาร์ค ทำลายระบบควบคุม ทำให้มันเคลื่อนที่ต่อไปไม่ได้และกลายเป็นเป้านิ่งสำหรับหมู่เรือพิฆาตอังกฤษที่รุกคืบเข้ามา เพียง 14 ชั่วโมงต่อมา บิสมาร์ค ถูกจมลงสู่ก้นมหาสมุทร จากลูกเรือ 2,200 นาย มีเพียง 114 นายที่รอดชีวิต

ชัยชนะครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการล้างแค้นให้ เรือรบหลวงฮู้ด แต่ยังเป็นการพิสูจน์ถึงพลังของเรือบรรทุกเครื่องบินในการกำหนดชะตาของสงคราม อาร์ครอยัล กลายเป็นวีรบุรุษของชาติ และเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังของอังกฤษในช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุดของสงคราม

📒 ยูเอสเอส นิมิตซ์ สุดยอดสนามบินรบลอยน้ำแห่งสงครามสมัยใหม่

ขึ้นสู่ดาดฟ้าของเรือรบที่ยิ่งใหญ่และทันสมัยที่สุดในประวัติศาสตร์ นวัตกรรมที่รวมการพัฒนากว่าร้อยปีของสงครามทางเรือ นั่นคือ ยูเอสเอส นิมิตซ์ (CVN-68) (USS NIMITZ) สัญลักษณ์แห่งอำนาจทางทะเลของสหรัฐ

960px USS Nimitz %28CVN 68%29
ยูเอสเอส นิมิตซ์ (CVN-68) นอกชายฝั่งแซนดีเอโกในเดือนกรกฎาคม 2009 ภาพโดย United States Navy

ยูเอสเอส นิมิตซ์ คือเรือลำแรกของเรือบรรทุกเครื่องบินชั้น นิมิตซ์ ซึ่งมีทั้งหมด 10 ลำ มันไม่ใช่แค่เรือรบ แต่เป็น เมืองลอยน้ำ ที่รองรับลูกเรือถึง 5,500 นาย ขับเคลื่อนด้วยเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 2 เตา ทำให้ นิมิตซ์ สามารถแล่นในมหาสมุทรได้นานถึง 25 ปีโดยไม่ต้องเติมเชื้อเพลิง ด้วยพื้นที่ดาดฟ้า 45 เอเคอร์ มันถูกขนานนามว่าเป็น สถานที่ทำงานที่อันตรายที่สุดในโลก

กองบินของ นิมิตซ์ ประกอบด้วยเครื่องบินรบไอพ่นและเฮลิคอปเตอร์รวม 90 ลำ มีพลังรบที่เหนือกว่ากองทัพอากาศของหลายประเทศ มันสามารถปล่อยเครื่องบินรบได้ทุก ๆ 20 วินาที ด้วย เครื่องดีดส่งพลังไอน้ำ ที่ส่งเครื่องบินพุ่งสู่อากาศด้วยความเร็วสูง เพื่อป้องกันการโจมตีจากข้าศึก นิมิตซ์ มาพร้อมเกราะลับสุดยอด และระบบป้องกันที่ทรงพลัง รวมถึง ระบบอาวุธป้องกันระยะประชิดฟาลังซ์ (Phalanx CIWS) 2 แท่น ที่สามารถยิงทำลายทุกสิ่งที่ฝ่าแนวป้องกันเข้ามาได้ในพริบตา

ยูเอสเอส นิมิตซ์ คือการรวมตัวของนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สั่งสมมานานนับศตวรรษ จากเรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกในอดีต สู่สุดยอดเครื่องจักรสงครามที่ครองท้องทะเลในยุคสมัยใหม่ มันไม่ใช่แค่เรือรบ แต่เป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจทางทะเลที่สามารถฉายพลังไปได้ทุกมุมโลก

จากสมรภูมิในสงครามเย็นไปจนถึงภารกิจในศตวรรษที่ 21 นิมิตซ์ และเรือชั้นเดียวกันยังคงเป็นหัวใจของกองทัพเรือสหรัฐ ด้วยความสามารถที่ไม่มีใครเทียบได้ มันคือเครื่องจักรสังหารที่ผสานพลัง ความเร็ว และความแม่นยำไว้อย่างสมบูรณ์แบบ


และนี่คือเรื่องราวของเหล่านักรบแห่งท้องทะเล จาก ยูเอสเอส นอติลุส ที่ปฏิวัติเรือดำน้ำด้วยพลังนิวเคลียร์ ไปจนถึง ยูเอสเอส นิมิตซ์ เมืองลอยน้ำที่ครองสมรภูมิด้วยเครื่องบินไอพ่น จาก เรือรบหลวงอาร์ครอยัล ที่ล้มยักษ์อย่าง บิสมาร์ค สู่ เรือพิฆาตชั้นเฟล็ตเชอร์ ที่ยืนหยัดท่ามกลางพายุแห่งสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ละลำล้วนเป็นมากกว่าเรือรบ มันคือสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นและความก้าวหน้าของมนุษยชาติ ท่ามกลางความสูญเสียและชัยชนะ มหาสมุทรยังคงเล่าเรื่องราวของความกล้าหาญเหล่านี้ต่อไป ขอบคุณที่ร่วมเดินทางไปกับเรานะครับ แล้วพบกันใหม่ในตอนหน้าด้วยเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นไม่แพ้กัน สวัสดีครับ


📒 อ้างอิง | แหล่งข้อมูล | แหล่งที่มา | ผู้สอน | ผู้เรียบเรียง:รักเรียน ruk-learn.com

→ รู้จัก เรือประจัญบานยูเอสเอส ไอโอวา (BB-61) จาก บทความ ยูเอสเอส ไอโอวา (BB-61)

→ รู้จัก เรือประจัญบานบิสมาร์ค จาก บทความ  เรือประจัญบานบิสมาร์ค(Bismarck)

→ รู้จัก เรือหลวงฮูด (HMS Hood) (หมายเลขชายธง 51) เรือลาดตระเวนประจัญบาน จาก บทความ เรือหลวงฮูด (51)

→ รู้จัก เรือประจัญบานชั้นควีนอลิซาเบธ จากบทความ Queen Elizabeth-class battleship

→ รู้จัก เรือหลวงวอร์สไปท์ (HMS Warspite 03) เป็นหนึ่งในห้าของเรือประจัญบานชั้นชั้นควีนอลิซาเบธแห่งราชนาวี จากบทความ เรือหลวงวอร์สไปท์ (03)

→ รู้จัก เรือพิฆาตคลาส Arleigh Burke เรือพิฆาตขนาดใหญ่ที่สุดที่สร้างขึ้นในสหรัฐอเมริกา จากบทความ เรือพิฆาตคลาสArleigh Burke

→ รู้จัก เรือดำน้ำ ชั้น ลอสแองเจลิส เป็น เรือดำน้ำโจมตีเร็ว ขับเคลื่อนด้วยพลังงานนิวเคลียร์ ( SSN ) ที่ให้บริการกับ กองทัพเรือสหรัฐฯ จากบทความ เรือดำน้ำชั้นลอสแองเจลิส

→ รู้จัก เรือดำน้ำชั้นเวอร์จิเนีย เรือดำน้ำโจมตีเร็วขีปนาวุธร่อนพลังงานนิวเคลียร์ในราชการทหาร จากบทความ เรือดำน้ำชั้นเวอร์จิเนีย

→ รู้จัก เรือดำน้ำ U-35(SM U-35 ) เป็น เรือดำน้ำ ชั้น U-31 ของเยอรมัน ที่ปฏิบัติการใน ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ระหว่าง สงครามโลกครั้งที่ 1 จากบทความ SM U-35 (Germany)

→ รู้จัก เรือดำน้ำ  ยูเอสเอส นอติลุส (SSN-571)(USS NAUTILUS (SSN-571)) จากบทความ เรือยูเอสเอสนอติลุส (SSN-571)

→ รู้จัก เรือดำน้ำ U-995 แบบ VIIC/41 จากบทความ เรือดำน้ำเยอรมันU-995

→ รู้จัก เรือดำนํ้าชั้น จอร์จ วอชิงตัน(USS George Washington (SSBN-598)) จากบทความ USS George Washington (SSBN-598)

→ รู้จัก เรือลาดตระเวนประจัญบานชั้นดอยช์แลนด์(Deutschland class cruiser) จากบทความ Deutschland-class cruiser

→ รู้จัก เรือลาดตระเวนชั้นติคอนเดอโรกา(TICONDEROGA-CLASS) จากบทความ เรือลาดตระเวนชั้นติคอนเดอโรกา

→ รู้จัก เรือพิฆาตระดับเคาน์ตี้ จากบทความ เรือพิฆาตระดับเคาน์ตี้

→ รู้จัก เรือพิฆาตสี่ปล่อง หรือ American Four-Stack Destroyers จากบทความ เรือยูเอสเอสคราวนินชิลด์

→ รู้จัก ยูเอสเอส แมนเนิร์ต แอล. อาเบล เรือพิฆาตคลาส Allen M. Sumnerจากบทความ เรือพิฆาตคลาสAllen M. Sumner

→ รู้จัก เรือพิฆาตชั้นเฟล็ตเชอร์(FLETCHER-CLASS) จากบทความ เรือพิฆาตคลาสเฟลทเชอร์

→ รู้จัก เรือ ยูเอสเอส เอนเทอร์ไพรซ์ (USS Enterprise CVN-65) จากบทความ ยูเอสเอส เอนเทอร์ไพรซ์ (CVN-65)

→ รู้จัก เรือ ยูเอสเอส แลงลีย์(USS Langley (CV-1)) จากบทความ ยูเอสเอส แลงลีย์ (CV-1)

→ รู้จัก เรือยูเอสเอส ฮอร์เน็ต CV-8 USS Hornet (CV-8) จากบทความ ยูเอสเอส ฮอร์เน็ต (CV-8)

→ รู้จัก เรือบรรทุกเครื่องบินชั้นฟอร์เรสตัล(Forrestal-Class) จากบทความ เรือบรรทุกเครื่องบินชั้นฟอร์เรสตัล

→ รู้จัก เรือรบหลวงอาร์ครอยัล (HMS Ark Royal) จากบทความ เรือรบหลวงอาร์ครอยัล (91)

→ รู้จัก เรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอสเอส นิมิตซ์ (CVN-68) (USS NIMITZ) จากบทความ ยูเอสเอส นิมิตซ์ (CVN-68)


นวนิยาย ดวงใจเทวพรหม ลดราคาทุกเล่ม มีฉบับพิเศษด้วยนะ
นวนิยาย ดวงใจเทวพรหม ลดราคาทุกเล่ม มีฉบับพิเศษด้วยนะ

รวมหนังสือ นวนิยาย ดวงใจเทวพรหม ครบทุกเรื่อง นวนิยายโรแมนติกพีเรียดที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดใจนวนิยายสำหรับคนที่มีรักแท้ชอบความโรแมนติก อบอุ่น ผู้ที่คิดว่า ความรักแท้สามารถเอาชนะทุกอุปสรรคได้ และแฟนคลับนักอ่าน จาก นวนิยายชุด สุภาพบุรุษจุฑาเทพอ่านต่อ