เรียน Action verbs (คำกริยาการกระทำ) แบบเข้าใจง่าย

รู้จัก Action verbs (คำกริยาการกระทำ) คือคำกริยาที่ใช้แสดงถึงการกระทำ กิจกรรม หรือสถานะที่เกิดขึ้น โดยทั่วไปจะบ่งบอกถึงสิ่งที่ประธานของประโยคกำลังทำ คำกริยาประเภทนี้เป็นส่วนสำคัญในประโยค เพราะช่วยให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

Action verbs เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ประโยคมีความหมายสมบูรณ์และชัดเจน หากไม่มีคำกริยาการกระทำ ประโยคอาจขาดความเคลื่อนไหวหรือจุดมุ่งหมาย

ทบทวนคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกับ “Places” หรือ “สถานที่” พร้อมแต่งประโยค  และเรียนรู้เกี่ยวกับ สุนทรียะแห่งศิลปะ และ “ศิลปวิจารณ์ พร้อมแบบฝึกหัด


เรียนวิชาภาษาอังกฤษ คาบเช้า


สวัสดีครับทุกคน วันนี้เราจะมาเรียนรู้เกี่ยวกับคำกริยาที่สำคัญมากๆ ในภาษาอังกฤษ นั่นก็คือ Action Verbs หรือคำกริยาการกระทำ

ลองนึกภาพตามนะครับ ว่าถ้าเราพูดว่า ‘ฉัน…’ เฉยๆ มันฟังดูแปลกๆ ใช่ไหมครับ? เราต้องบอกด้วยว่า ‘ฉันทำอะไร’ เช่น ‘ฉันกินข้าว’ หรือ ‘ฉันวิ่งเล่น’ คำว่า ‘กิน’ และ ‘วิ่ง’ นี่แหละครับ ที่เป็น Action Verbs

Action Verbs เป็นคำที่แสดงการกระทำต่างๆ ที่เราทำในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหว การพูด การคิด หรือการกระทำอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าไม่มี Action Verbs ประโยคของเราก็จะไม่สมบูรณ์และไม่สื่อความหมายครับ

วันนี้เราจะมาเรียนรู้คำศัพท์ Action Verbs ที่ใช้บ่อยๆ พร้อมทั้งฝึกแต่งประโยคให้ถูกต้องและสนุกสนานกันครับ รับรองว่าทุกคนจะสามารถนำไปใช้พูดและเขียนภาษาอังกฤษได้อย่างมั่นใจแน่นอน

สารบัญเนื้อหา

ทำไม Action Verbs ถึงสำคัญ

สื่อความหมายชัดเจน Action Verbs ช่วยให้เราบอกได้ว่าใครทำอะไร ทำให้ประโยคมีความหมายสมบูรณ์
ใช้ในชีวิตประจำวัน เราใช้ Action Verbs ในการพูดคุยและเขียนเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ ที่เราทำทุกวัน
สร้างประโยคที่หลากหลาย การเรียนรู้ Action Verbs ช่วยให้เราสร้างประโยคได้หลากหลายและน่าสนใจมากขึ้น

ลักษณะเด่นของ Action Verbs

แสดงการเคลื่อนไหวหรือการเปลี่ยนแปลง แตกต่างจาก Linking Verbs (เช่น is, am, are) หรือ Helping Verbs (เช่น have, will) ที่ไม่ได้แสดงการกระทำโดยตรง

สามารถเปลี่ยนรูปตามกาลเวลา (Tense) เช่น walk (เดิน) → walked (เดินแล้ว) → walking (กำลังเดิน)

Action verbs สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ตามลักษณะการใช้งาน

1. Physical Action Verbs (คำกริยาที่แสดงการกระทำทางกายภาพ)

เป็นคำกริยาที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวหรือการกระทำที่มองเห็นได้ชัดเจน ตัวอย่างเช่น run รัน (วิ่ง), jump จัมป์ (กระโดด), write ไรท์ (เขียน), kick คิก (เตะ), eat อีท (กิน)

ตัวอย่างประโยค
• She runs every morning. ชี รันส์ เอฟเวอรี มอร์นิง (เธอวิ่งทุกเช้า)
• He kicked the ball hard. ฮี คิกด์ เดอะ บอล ฮาร์ด (เขาเตะบอลแรงมาก)

2. Mental Action Verbs (คำกริยาที่แสดงการกระทำทางจิตใจ)

เกี่ยวข้องกับกระบวนการคิด ความรู้สึก หรือการรับรู้ ตัวอย่างเช่น think ธิงค์ (คิด), imagine อิแมจจิน (จินตนาการ), remember รีเมมเบอร์ (จำ), believe บีลีฟ (เชื่อ), understand อันเดอร์สแตนด์ (เข้าใจ)

ตัวอย่างประโยค
• I think about my future often. ไอ ธิงค์ อะเบาท์ มาย ฟิวเจอร์ ออฟเฟิน (ฉันคิดถึงอนาคตของตัวเองบ่อยๆ)
• She believes in herself. ชี บีลีฟส์ อิน เฮอร์เซลฟ์ (เธอเชื่อมั่นในตัวเอง)

3. Transitive vs. Intransitive Action Verbs (แบ่งตามการต้องการกรรม)

Transitive Verbs แทรนซิทิฟ เวิร์บส์ (สกรรมกริยา/คำกริยาที่ต้องการกรรม) ต้องมีคำนามหรือสิ่งที่รับการกระทำ (object) ตามหลัง เช่น hit ฮิท (ตี), paint เพนท์ (ทาสี), read รีด (อ่าน)

• Transitive Verbs จะต้องมีกรรมมารองรับเสมอ กรรมอาจเป็นคำนาม คำสรรพนาม หรือวลีก็ได้
• ถ้าไม่มีกรรมมารองรับ Transitive Verbs จะทำให้ประโยคไม่สมบูรณ์และสื่อความหมายไม่ได้
• Transitive Verbs เป็นส่วนสำคัญของไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ และช่วยให้เราสร้างประโยคที่ถูกต้องและชัดเจน

ตัวอย่าง
• He hit the wall. ฮี ฮิท เดอะ วอลล์ (เขาตีกำแพง) ในประโยคนี้ “hit” เป็น Transitive Verb และ “the wall” เป็นกรรม
• I eat an apple. ไอ อีท แอน แอปเปิล (ฉันกินแอปเปิล) ในประโยคนี้ “eat” เป็น Transitive Verb และ “an apple” เป็นกรรม
• She kicks the ball. ชี คิกส์ เดอะ บอลล์ (เธอเตะลูกบอล) ในประโยคนี้ “kicks” เป็น Transitive Verb และ “the ball” เป็นกรรม

Intransitive Verbs อินแทรนซิทีฟ เวิร์บส์ (อกรรมกริยา/คำกริยาที่ไม่ต้องการกรรม) ไม่ต้องมี object ตามหลัง เช่น sleep สลีพ (นอน), laugh ลาฟ (หัวเราะ), arrive อะไรฟว (มาถึง)

• Intransitive Verbs สามารถสื่อความหมายได้ด้วยตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องมีกรรมมารองรับ
• คำกริยาบางคำสามารถเป็นได้ทั้ง Transitive Verbs และ Intransitive Verbs ขึ้นอยู่กับบริบทของประโยค
• Intransitive Verbs เป็นส่วนสำคัญของไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ และช่วยให้เราสร้างประโยคที่ถูกต้องและชัดเจน

ตัวอย่าง
• The baby sleeps. เดอะ เบบี้ สลีพส์ (เด็กทารกนอนหลับ) ในประโยคนี้ “sleeps” เป็น Intransitive Verb และไม่มีกรรมมารองรับ
• She laughs. ชี ลาฟส์ (เธอหัวเราะ) ในประโยคนี้ “laughs” เป็น Intransitive Verb และไม่มีกรรมมารองรับ

ตัวอย่างการใช้ในชีวิตประจำวัน
I cook dinner every night. (ฉันทำอาหารเย็นทุกคืน) → Physical Action
We discuss the plan tomorrow. (เราจะคุยเรื่องแผนพรุ่งนี้) → Mental Action
They dance beautifully. (พวกเขาเต้นได้สวยงาม) → Physical Action

หากนับตามการแบ่งประเภทใหญ่ๆ จะมี 3 ประเภทหลัก ครับ แต่ถ้าจะนับย่อยลงไปในหมวด Transitive และ Intransitive เป็นประเภทแยกกัน ก็อาจนับได้ถึง 4 ประเภท ขึ้นอยู่กับมุมมองการแบ่งแยก อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปในทางภาษาศาสตร์มักระบุเป็น 3 ประเภทหลักตามที่กล่าวมา

ตัวอย่าง Action Verbs ที่ใช้บ่อย

Eat อีท กิน
Drink ดื่ม
Run วิ่ง
Dance เต้น
Sing ร้องเพลง
Fight ต่อสู้
Talk พูด,คุย
Clap ปรบมือ
Hug กอด
Sleep หลับ
Write เขียน
Jump กระโดด
Walk เดิน
Swim ว่ายนํ้า
Stretch ยืด,เหยียด
Stand ยืน
Cry ร้องไห้
Think คิด
Laugh หัวเราะ

Eat อีท กิน แต่งประโยค
“I eat breakfast with my family every morning. ไอ อีท เบรคฟาสท์ วิธ มาย แฟมิลี่ เอวรี่ มอร์นิ่ง ” (ฉันกินอาหารเช้ากับครอบครัวของฉันทุกเช้า)

อธิบายประโยค
• I (ฉัน) : คำสรรพนาม (Pronoun) ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค

• eat (กิน): คำกริยา (Verb) เป็นคำกริยาที่ต้องการกรรม (Transitive Verb)

• breakfast (อาหารเช้า): คำนาม (Noun) ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค (Object)

• with my family (กับครอบครัวของฉัน): วลีบุพบท (Prepositional Phrase) ทำหน้าที่ขยายกริยา “eat”

• every morning (ทุกเช้า): คำวิเศษณ์ (Adverb) ทำหน้าที่ขยายกริยา “eat” บอกความถี่

ดังนั้นในประโยคนี้ “eat” เป็น Transitive Verbs และ “breakfast” เป็นกรรมของประโยค

Drink ดริ๊งค์ ดื่ม แต่งประโยค
“She drinks coffee in the morning to wake up. ชี ดริ๊งค์ คอฟฟี่ อิน เดอะ มอร์นิ่ง ทู เวค อัพ ” (เธอดื่มกาแฟในตอนเช้าเพื่อตื่นนอน)

อธิบายประโยค
• She (เธอ): คำสรรพนาม (Pronoun) ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค

• drinks (ดื่ม) คำกริยา (Verb) เป็นคำกริยาที่ต้องการกรรม (Transitive Verb)

• coffee (กาแฟ): คำนาม (Noun) ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค (Object)

• in the morning (ในตอนเช้า): วลีบุพบท (Prepositional Phrase) ทำหน้าที่ขยายกริยา “drinks” บอกเวลา

• to wake up (เพื่อตื่นนอน): วลี infinitive ทำหน้าที่บอกจุดประสงค์ของการกระทำ “drinks”

ดังนั้นในประโยคนี้ “drinks” เป็น Transitive Verbs และ “coffee” เป็นกรรมของประโยค

Run รัน วิ่ง แต่งประโยค
“We run on the treadmill at the gym. วี รัน ออน เดอะ เทรดมิล แอท เดอะ จิม ” (พวกเราวิ่งบนลู่วิ่งที่โรงยิม)

อธิบายประโยค
• We (พวกเรา): คำสรรพนาม (Pronoun) ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค

• run (วิ่ง): คำกริยา (Verb) เป็นคำกริยาที่ไม่ต้องการกรรม (Intransitive Verb)

• on the treadmill (บนลู่วิ่ง): วลีบุพบท (Prepositional Phrase) ทำหน้าที่ขยายกริยา “run” บอกสถานที่

• at the gym (ที่โรงยิม): วลีบุพบท (Prepositional Phrase) ทำหน้าที่ขยายกริยา “run” บอกสถานที่

ดังนั้นในประโยคนี้ “run” เป็น Intransitive Verb และไม่มีกรรมโดยตรงในประโยคนี้

Dance แดนซ์ เต้น แต่งประโยค
“They danced all night at the party เดย์ แดนซ์ ออล ไนท์ แอท เดอะ พาร์ที้ “(พวกเขาเต้นรำกันทั้งคืนในงานปาร์ตี้)

อธิบายประโยค
• They: คำสรรพนาม (Pronoun) ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค (Subject)

• danced: คำกริยา (Verb) เป็นคำกริยาที่ไม่ต้องการกรรม (Intransitive Verb) แสดงการกระทำที่สมบูรณ์ในตัวเอง

• all night: คำวิเศษณ์ (Adverb) ทำหน้าที่ขยายคำกริยา “danced” บอกระยะเวลาของการกระทำ

• at the party : บุพบทวลี (Prepositional Phrase) ทำหน้าที่ขยายคำกริยา “danced” บอกสถานที่ของการกระทำ

ดังนั้นในประโยคนี้คำว่า “danced” เป็น Intransitive Verbs คือกริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารองรับ

Sing ซิงส์ ร้องเพลง แต่งประโยค
“The choir sings in harmony เดอะ คไวเออร์ ซิงส์ อิน ฮาร์โมนี ” (คณะนักร้องประสานเสียงร้องเพลงประสานเสียงกัน)

อธิบายประโยค
• The choir: คำนาม (Noun) ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค (Subject) หมายถึง คณะนักร้องประสานเสียง

• sings: คำกริยา (Verb) เป็นคำกริยาที่ไม่ต้องการกรรม (Intransitive Verb) หมายถึง ร้องเพลง

• in harmony: คำบุพบทวลี (Prepositional Phrase) ทำหน้าที่ขยายคำกริยา “sings” บอกลักษณะการร้องเพลง หมายถึง อย่างสอดประสาน

ดังนั้นในประโยคนี้คำว่า “sings” เป็น Intransitive Verbs คือกริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารองรับ

Fight ไฟท์ ต่อสู้ แต่งประโยค
“The boxers fight in the ring. เดอะ บ็อกซ์เซ่อร์ ไฟท์ อิน เดอะ ริง ” (นักมวยต่อสู้กันบนเวที)

อธิบายประโยค
• The boxers: คำนาม (Noun) ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค (Subject) หมายถึง นักมวย

• fight: คำกริยา (Verb) เป็นคำกริยาที่ไม่ต้องการกรรม (Intransitive Verb) หมายถึง ต่อสู้

• in the ring: บุพบทวลี (Prepositional Phrase) ทำหน้าที่ขยายคำกริยา “fight” บอกสถานที่ของการกระทำ หมายถึง บนเวที

ดังนั้นในประโยคนี้คำว่า “fight” เป็น Intransitive Verbs คือกริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารองรับ

Talk พูด,คุย แต่งประโยค
“The teacher talks to the students about the lesson. เดอะ ทีชเชอร์ ทอล์คส์ ทู เดอะ สตูเดนท์ส อะเบาท์ เดอะ เลสเซิน ” (ครูพูดคุยกับนักเรียนเกี่ยวกับบทเรียน)

อธิบายประโยค
• The teacher: คำนาม (Noun) ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค (Subject) หมายถึง ครู

• talks: คำกริยา (Verb) เป็นคำกริยาที่ไม่ต้องการกรรม (Intransitive Verb) หมายถึง พูดคุย

• to the students: บุพบทวลี (Prepositional Phrase) ทำหน้าที่ขยายคำกริยา “talks” บอกผู้ที่ถูกพูดคุยด้วย หมายถึง กับนักเรียน

• about the lesson: บุพบทวลี (Prepositional Phrase) ทำหน้าที่ขยายคำกริยา “talks” บอกหัวข้อที่พูดคุย หมายถึง เกี่ยวกับบทเรียน

ดังนั้นในประโยคนี้คำว่า “talks” เป็น Intransitive Verbs คือกริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารองรับ

Clap แคล็พ ปรบมือ แต่งประโยค
“The audience clapped loudly after the performance. ดิ ออเดียนซ์ แคล็พทฺ ลาวด์ลี่ อาฟเตอร์ เดอะ เพอร์ฟอร์แมนซ์ ” (ผู้ชมปรบมือเสียงดังหลังจากจบการแสดง)

อธิบายประโยค
• “The audience” เป็นประธานของประโยค

• Clapped ในที่นี้เป็น Intransitive Verb (อกรรมกริยา) หรือกริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารองรับ เพราะในประโยคไม่ได้ระบุว่าผู้ชมปรบมือ “อะไร” แต่บอกเพียงว่าพวกเขา “ปรบมือ”

• “loudly” เป็น adverb (คำกริยาวิเศษณ์) ที่ขยายกริยา “clapped” บอกว่าปรบมือ “อย่างเสียงดัง”

• “after the performance” เป็นวลีบุพบท (prepositional phrase) บอกเวลาว่าปรบมือ “หลังจากจบการแสดง”

ดังนั้น ในประโยคนี้ “clapped” จึงเป็น Intransitive Verb (อกรรมกริยา) ไม่ใช่ Transitive Verbs (สกรรมกริยา) ที่ต้องการกรรมมารองรับ

Hug ฮัก กอด แต่งประโยค
“They hugged to keep warm in the cold. เดย์ ฮักทฺ ทู คีพ วอร์ม อิน เดอะ โคลด์ ” (พวกเขาโอบกอดกันเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นในความหนาวเย็น)

อธิบายประโยค
• They เป็นประธานของประโยค

• hugged ในประโยคนี้เป็น Intransitive Verb (อกรรมกริยา) หรือกริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารองรับ เพราะในประโยคไม่ได้ระบุว่าพวกเขา “กอดอะไร” แต่บอกเพียงว่าพวกเขา “กอด”

• to keep warm เป็นวลีที่บอกจุดประสงค์ว่าทำไมพวกเขาถึงกอดกัน (เพื่อให้อบอุ่น)

• in the cold เป็นวลีบุพบทที่บอกสถานที่หรือสถานการณ์ (ในความหนาวเย็น)

ดังนั้น ในประโยคนี้ “hugged” จึงเป็น Intransitive Verb (อกรรมกริยา) ไม่ใช่ Transitive Verbs (สกรรมกริยา) ที่ต้องการกรรมมารองรับ

Sleep สลีพ หลับ แต่งประโยค
“I sleep for eight hours every night. ไอ สลีพ ฟอร์ เอท อาวเออร์ส เอฟวรี ไนท์ ” (ฉันนอนหลับเป็นเวลาแปดชั่วโมงทุกคืน)

อธิบายประโยค
• I เป็นประธานของประโยค

• sleep ในประโยคนี้เป็น Intransitive Verb (อกรรมกริยา) หรือกริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารองรับ เพราะในประโยคไม่ได้ระบุว่าฉันนอนหลับ “อะไร” แต่บอกเพียงว่าฉัน “นอนหลับ”

• for eight hours เป็นวลีที่บอกระยะเวลาว่านอนหลับ “เป็นเวลาแปดชั่วโมง”

• every night เป็นวลีที่บอกความถี่ว่านอนหลับ “ทุกคืน”

ดังนั้น ในประโยคนี้ “sleep” จึงเป็น Intransitive Verb (อกรรมกริยา) ไม่ใช่ Transitive Verbs (สกรรมกริยา) ที่ต้องการกรรมมารองรับ

Write ไรท์ เขียน แต่งประโยค
“I write in my journal every day. ไอ ไรท์ อิน มาย เจอร์นัล เอฟวรี เดย์ ” (ฉันเขียนบันทึกประจำวันของฉันทุกวัน)

อธิบายประโยค
• I เป็นประธานของประโยค

• write ในประโยคนี้เป็น Intransitive Verb (อกรรมกริยา) หรือกริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารองรับ เพราะในประโยคไม่ได้ระบุว่าฉันเขียน “อะไร” แต่บอกเพียงว่าฉัน “เขียน”

• in my journal เป็นวลีบุพบท (prepositional phrase) ซึ่งบอกสถานที่ที่เขียน (ในบันทึกประจำวันของฉัน)

• every day เป็นวลีที่บอกความถี่ว่าเขียน “ทุกวัน”

ดังนั้น ในประโยคนี้ “write” จึงเป็น Intransitive Verb (อกรรมกริยา) ไม่ใช่ Transitive Verbs (สกรรมกริยา) ที่ต้องการกรรมมารองรับ

Jump จัมพ์ กระโดด แต่งประโยค
“The cat jumped over the fence. เดอะ แคท จัมพ์ทฺ โอเวอร์ เดอะ เฟนซ์ ” (แมวกระโดดข้ามรั้ว)

อธิบายประโยค
• The cat เป็นประธานของประโยค

• jumped ในประโยคนี้เป็น Intransitive Verb (อกรรมกริยา) หรือกริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารองรับ เพราะในประโยคไม่ได้ระบุว่าแมวกระโดด “อะไร” แต่บอกเพียงว่าแมว “กระโดด”

• over the fence เป็นวลีบุพบท (prepositional phrase) ซึ่งบอกสถานที่ว่ากระโดด “ข้ามรั้ว”

ดังนั้น ในประโยคนี้ “jumped” จึงเป็น Intransitive Verb (อกรรมกริยา) ไม่ใช่ Transitive Verbs (สกรรมกริยา) ที่ต้องการกรรมมารองรับ

Walk วอล์ค เดิน แต่งประโยค
“She walks to school every day. ชี วอล์คสฺ ทู สคูล เอฟวรี เดย์ ” (เธอเดินไปโรงเรียนทุกวัน)

อธิบายประโยค
• She เป็นประธานของประโยค

• walks ในประโยคนี้เป็น Intransitive Verb (อกรรมกริยา) หรือกริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารองรับ เพราะในประโยคไม่ได้ระบุว่าเธอเดิน “อะไร” แต่บอกเพียงว่าเธอ “เดิน”

• to school เป็นวลีบุพบท (prepositional phrase) ซึ่งบอกสถานที่ว่าเดิน “ไปโรงเรียน”

• every day เป็นวลีที่บอกความถี่ว่าเดิน “ทุกวัน”

ดังนั้น ในประโยคนี้ “walks” จึงเป็น Intransitive Verb (อกรรมกริยา) ไม่ใช่ Transitive Verbs (สกรรมกริยา) ที่ต้องการกรรมมารองรับ

Swim สวิม ว่ายนํ้า แต่งประโยค
“She swims in the pool every morning. ชี สวิมส์ อิน เดอะ พูล เอฟวรี มอร์นิง ” (เธอว่ายน้ำในสระว่ายน้ำทุกเช้า)

อธิบายประโยค
• She เป็นประธานของประโยค

• swims ในประโยคนี้เป็น Intransitive Verb (อกรรมกริยา) หรือกริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารองรับ เพราะในประโยคไม่ได้ระบุว่าเธอว่าย “อะไร” แต่บอกเพียงว่าเธอ “ว่าย”

• in the pool เป็นวลีบุพบท (prepositional phrase) ซึ่งบอกสถานที่ว่าว่าย “ในสระว่ายน้ำ”

• every morning เป็นวลีที่บอกความถี่ว่าว่าย “ทุกเช้า”

ดังนั้น ในประโยคนี้ “swims” จึงเป็น Intransitive Verb (อกรรมกริยา) ไม่ใช่ Transitive Verbs (สกรรมกริยา) ที่ต้องการกรรมมารองรับ

Stretch สเตรชทฺ ยืด,เหยียด แต่งประโยค
“He stretched his legs after sitting for a long time. ฮี สเตรชทฺ ฮิส เลกส์ อาฟเตอร์ ซิททิง ฟอร์ อะ ลอง ไทม์ ” (เขาเหยียดขาของเขาหลังจากนั่งเป็นเวลานาน)

อธิบายประโยค
• He เป็นประธานของประโยค

• stretched เป็น Transitive Verb (สกรรมกริยา) เนื่องจากมีกรรมมารองรับ

• his legs เป็นกรรมของกริยา “stretched” (ยืดขาของเขา)

• “after sitting for a long time” เป็นวลีบุพบท (prepositional phrase) ซึ่งบอกเวลาว่ายืดขาเมื่อใด (หลังจากนั่งเป็นเวลานาน) ไม่ใช่กรรมของกริยา

ดังนั้น ในประโยคนี้ “stretched” จึงเป็น Transitive Verbs (สกรรมกริยา) ที่มีกรรม
มารองรับ

Stand สแตนส์ ยืน แต่งประโยค
“She stands at the bus stop every morning. ชี สแตนส์ แอท เดอะ บัส สต็อป เอฟวรี มอร์นิง ” (เธอยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ทุกเช้า)

อธิบายประโยค
• She เป็นประธานของประโยค

• stands ในประโยคนี้เป็น Intransitive Verb (อกรรมกริยา) หรือกริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารองรับ เพราะในประโยคไม่ได้ระบุว่าเธอยืน “อะไร” แต่บอกเพียงว่าเธอ “ยืน”

• at the bus stop เป็นวลีบุพบท (prepositional phrase) ซึ่งบอกสถานที่ว่ายืน “ที่ป้ายรถเมล์”

• every morning เป็นวลีที่บอกความถี่ว่ายืน “ทุกเช้า”

ดังนั้น ในประโยคนี้ “stands” จึงเป็น Intransitive Verb (อกรรมกริยา) ไม่ใช่ Transitive Verbs (สกรรมกริยา) ที่ต้องการกรรมมารองรับ

Cry คราย ร้องไห้ แต่งประโยค
“Don’t cry, everything will be alright. โดนท์ คราย, เอฟวรีธิง วิล บี ออลไรท์ ” (อย่าร้องไห้เลย ทุกอย่างจะดีเอง)

อธิบายประโยค
• cry ในประโยคนี้เป็น Intransitive Verb (อกรรมกริยา) หรือกริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารองรับ เพราะในประโยคไม่ได้ระบุว่า “ร้องไห้อะไร” แต่บอกเพียงว่า “อย่าร้องไห้”

• Don’t เป็นคำกริยาช่วย (auxiliary verb) ที่ใช้ในการสร้างประโยคปฏิเสธ

• everything เป็นประธานของประโยคในส่วนที่สอง

• will be เป็นกริยาช่วย (auxiliary verb) และกริยาหลัก (main verb) ในส่วนที่สองของประโยค

• alright เป็นคำคุณศัพท์ (adjective) ที่ขยายประธาน “everything”

ดังนั้น ในประโยคนี้ “cry” จึงเป็น Intransitive Verb (อกรรมกริยา) ไม่ใช่ Transitive Verbs (สกรรมกริยา) ที่ต้องการกรรมมารองรับ

Think ธิงค์ คิด แต่งประโยค
“I think it’s going to rain today. ไอ ธิงค์ อิทส์ โกอิ้ง ทู เรน ทูเดย์ ” (ฉันคิดว่าวันนี้ฝนกำลังจะตก)

อธิบายประโยค
• I (ไอ): เป็นประธานของประโยค (subject) หมายถึง “ฉัน”

• think (ธิงค์): เป็นกริยา (verb) หมายถึง “คิด” ในที่นี้ “think” เป็นกริยาที่ไม่ต้องการกรรมโดยตรง (intransitive verb)

• it’s going to rain today (อิทส์ โกอิ้ง ทู เรน ทูเดย์): เป็นอนุประโยค (clause) ทำหน้าที่เป็นกรรมที่ถูกคิดถึง (object of thought) ในที่นี้ไม่ได้เป็นกรรมตรง แต่เป็นสิ่งที่ถูกคิดถึงทั้งหมด
– it (อิท): เป็นประธานของอนุประโยค
– is going to rain (อีส โกอิ้ง ทู เรน): เป็นกริยาของอนุประโยค หมายถึง “ฝนจะตก”
– today (ทูเดย์): เป็นคำวิเศษณ์ (adverb) หมายถึง “วันนี้”

ดังนั้น ในประโยคนี้ “think” จึงเป็น Intransitive Verb (อกรรมกริยา) ไม่ใช่ Transitive Verbs (สกรรมกริยา) ที่ต้องการกรรมมารองรับ

Laugh หัวเราะ แต่งประโยค
“We laugh a lot when we are together. วี ลาฟ อะ ล็อท เวน วี อาร์ ทูเก็ธเทอร์ ” (พวกเราหัวเราะกันมากเมื่อเราอยู่ด้วยกัน)

อธิบายประโยค
• We (วี): เป็นประธานของประโยค (subject) หมายถึง “พวกเรา”

• laugh (ลาฟ): เป็นกริยา (verb) หมายถึง “หัวเราะ” ในที่นี้ “laugh” เป็นกริยาที่ไม่ต้องการกรรมโดยตรง (intransitive verb)

• a lot (อะ ล็อท): เป็นคำวิเศษณ์ (adverb) หมายถึง “มาก” ขยายกริยา “laugh”

• when we are together (เวน วี อาร์ ทูเก็ธเทอร์): เป็นอนุประโยค (clause) ทำหน้าที่เป็นส่วนขยายของประโยคหลัก บอกเวลาที่เกิดการกระทำ
– when (เวน): เป็นคำเชื่อม (conjunction) หมายถึง “เมื่อ”
– we (วี): เป็นประธานของอนุประโยค
– are (อาร์): เป็นกริยาของอนุประโยค
– together (ทูเก็ธเทอร์): เป็นคำวิเศษณ์ (adverb) หมายถึง “ด้วยกัน”

ดังนั้น ในประโยคนี้ “laugh” จึงเป็น Intransitive Verb (อกรรมกริยา) ไม่ใช่ Transitive Verbs (สกรรมกริยา) ที่ต้องการกรรมมารองรับ


เรียนวิชาภาษาอังกฤษ คาบบ่าย

สวัสดีครับทุกคน(รอบบ่าย) วันนี้เราจะมาผจญภัยไปในโลกของคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกับ “Places” หรือ “สถานที่” กันนะครับ

ลองคิดดูนะครับว่า ถ้าเราสามารถบอกชื่อสถานที่ต่างๆ เป็นภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว เราจะสามารถสื่อสารกับเพื่อนชาวต่างชาติได้สนุกสนานมากขึ้น หรือถ้าเราไปเที่ยวต่างประเทศ เราก็จะสามารถถามทางหรือบอกสถานที่ที่เราอยากไปได้อย่างมั่นใจมากขึ้นใช่ไหมครับ

ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ที่เราคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน เช่น บ้าน โรงเรียน หรือสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าตื่นเต้น เช่น ชายหาด ภูเขา หรือสวนสนุก การเรียนรู้คำศัพท์เหล่านี้จะช่วยเปิดโลกทัศน์ของเราให้กว้างขึ้น และทำให้เราสนุกกับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษมากขึ้นครับ

วันนี้เราจะมาเรียนรู้คำศัพท์ที่เกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ ที่ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน พร้อมทั้งฝึกออกเสียงให้ถูกต้อง และเรียนรู้วิธีการนำไปใช้ในประโยคต่างๆ กันนะครับ ถ้าพร้อมแล้ว เรามาเริ่มการเดินทางของเรากันเลย

คำศัพท์ สถานที่ในภาษาอังกฤษ(Places)

1. Place เพลส สถานที่ แต่งประโยค
“This place is perfect for a family picnic. ดิส เพลส อิส เพอร์เฟ็คท์ ฟอร์ อะ แฟมิลี พิกนิก ” (สถานที่แห่งนี้เหมาะสำหรับการปิกนิกของครอบครัว)

อธิบายประโยค
• This place (ดิส เพลส): เป็นประธานของประโยค (subject) หมายถึง “สถานที่แห่งนี้”

• is (อิส): เป็นกริยา (verb) ในที่นี้เป็นกริยาเชื่อม (linking verb) ซึ่งเชื่อมประธานกับส่วนเติมเต็ม (subject complement)

• perfect (เพอร์เฟ็คท์): เป็นส่วนเติมเต็ม (subject complement) ซึ่งขยายความประธาน “This place” หมายถึง “สมบูรณ์แบบ” หรือ “เหมาะเจาะ”

• for a family picnic (ฟอร์ อะ แฟมิลี พิกนิก): เป็นส่วนขยาย (prepositional phrase) บอกจุดประสงค์ หมายถึง “สำหรับการปิกนิกของครอบครัว”

ดังนั้น ในประโยคนี้ “is” เป็นกริยาเชื่อม ไม่ได้เป็นกริยาที่ต้องการกรรมโดยตรง และ “perfect” เป็นส่วนเติมเต็มที่ขยายความประธาน ไม่ใช่กรรมโดยตรง

2. Bank แบงค์ ธนาคาร แต่งประโยค
“The bank is located downtown. เดอะ แบงค์ อิส โลเคเทด ดาวน์ทาวน์ ” (ธนาคารตั้งอยู่ในตัวเมือง)

อธิบายประโยค
• The bank (เดอะ แบงค์): เป็นประธานของประโยค (subject) หมายถึง “ธนาคาร”

• is located (อิส โลเคเทด): เป็นกริยา (verb) ในที่นี้เป็นกริยาในรูป passive voice หมายถึง “ตั้งอยู่”

• downtown (ดาวน์ทาวน์): เป็นคำวิเศษณ์ (adverb) บอกสถานที่ หมายถึง “ในตัวเมือง”

ดังนั้น ในประโยคนี้ “is located” เป็นกริยา และ “downtown” เป็นส่วนขยายบอกสถานที่ ไม่ใช่กรรมโดยตรง

3. Cinema ซินเนอะมะ โรงหนัง แต่งประโยค
“I bought tickets for the cinema online. ไอ บอท ทิคเก็ตส์ ฟอร์ เดอะ ซินเนอะมะ ออนไลน์ ” (ฉันซื้อตั๋วสำหรับโรงภาพยนตร์ทางออนไลน์)

อธิบายประโยค
• I (ไอ): เป็นประธานของประโยค (subject) หมายถึง “ฉัน”

• bought (บอท): เป็นกริยา (verb) หมายถึง “ซื้อ” ในที่นี้เป็นกริยาที่ต้องการกรรมโดยตรง (transitive verb)

• tickets (ทิคเก็ตส์): เป็นกรรมตรง (direct object) หมายถึง “ตั๋ว”

• for the cinema (ฟอร์ เดอะ ซินเนอะมะ): เป็นส่วนขยาย (prepositional phrase) บอกจุดประสงค์ หมายถึง “สำหรับโรงภาพยนตร์”

• online (ออนไลน์): เป็นคำวิเศษณ์ (adverb) บอกวิธีการ หมายถึง “ทางออนไลน์”

ดังนั้น ในประโยคนี้ “bought” เป็นกริยาที่ต้องการกรรมโดยตรง และ “tickets” เป็นกรรมตรงของกริยา “bought”

4. Church เชิร์ช โบสถ์ แต่งประโยค
“They had their wedding in the church. เดย์ แฮด แดร์ เว็ดดิ้ง อิน เดอะ เชิร์ช ” (พวกเขาจัดงานแต่งงานในโบสถ์)

อธิบายประโยค
• They (เดย์): เป็นประธานของประโยค (subject) หมายถึง “พวกเขา”

• had (แฮด): เป็นกริยา (verb) หมายถึง “มี” หรือ “จัด” ในที่นี้เป็นกริยาที่ต้องการกรรมโดยตรง (transitive verb)

• their wedding (แดร์ เว็ดดิง): เป็นกรรมตรง (direct object) หมายถึง “งานแต่งงานของพวกเขา”

• in the church (อิน เดอะ เชิร์ช): เป็นส่วนขยาย (prepositional phrase) บอกสถานที่ หมายถึง “ในโบสถ์”

ดังนั้น ในประโยคนี้ “had” เป็นกริยาที่ต้องการกรรมโดยตรง และ “their wedding” เป็นกรรมตรงของกริยา “had”

5. Temple เท็มเพิล วัด แต่งประโยค
“We visited a beautiful temple in Kyoto. วี วิสิทเท็ด อะ บิวตี้ฟูล เท็มเพิล อิน เคียวโต ” (พวกเราไปเยี่ยมชมวัดที่สวยงามในเกียวโต)

อธิบายประโยค
• We (วี): เป็นประธานของประโยค (subject) หมายถึง “พวกเรา”

• visited (วิสิทเท็ด): เป็นกริยา (verb) หมายถึง “เยี่ยมชม” ในที่นี้เป็นกริยาที่ต้องการกรรมโดยตรง (transitive verb)

• a beautiful temple (อะ บิวตี้ฟูล เท็มเพิล): เป็นกรรมตรง (direct object) หมายถึง “วัดที่สวยงาม”

• in Kyoto (อิน เคียวโต): เป็นส่วนขยาย (prepositional phrase) บอกสถานที่ หมายถึง “ในเกียวโต”

ดังนั้น ในประโยคนี้ “visited” เป็นกริยาที่ต้องการกรรมโดยตรง และ “a beautiful temple” เป็นกรรมตรงของกริยา “visited”

6. Airport แอร์พอร์ต สนามบิน แต่งประโยค
“We arrived at the airport early. วี อะไรฟด์ แอท ดิ แอร์พอร์ต เออร์ลี่ ” (พวกเรามาถึงสนามบินแต่เช้า)

อธิบายประโยค
• We (วี): เป็นประธานของประโยค (subject) หมายถึง “พวกเรา”

• arrived (อะไรฟด์): เป็นกริยา (verb) หมายถึง “มาถึง” ในที่นี้เป็นกริยาที่ไม่ต้องการกรรมโดยตรง (intransitive verb)

• at the airport (แอท ดิ แอร์พอร์ต): เป็นส่วนขยาย (prepositional phrase) บอกสถานที่ หมายถึง “ที่สนามบิน”

• early (เออร์ลี่): เป็นคำวิเศษณ์ (adverb) บอกเวลา หมายถึง “แต่เช้า” หรือ “ก่อนเวลา”

ดังนั้น ในประโยคนี้ “arrived” เป็นกริยาที่ไม่ต้องการกรรมโดยตรง และ “at the airport” กับ “early” เป็นส่วนขยายของกริยา

7. Market มาร์เก็ต ตลาด แต่งประโยค
“I like to walk around the market and see the different stalls. ไอ ไลค์ ทู วอล์ค อะราวนด์ เดอะ มาร์เก็ต แอนด์ ซี เดอะ ดิฟเฟอเรนท์ สตอลส์ ” (ฉันชอบเดินเล่นรอบตลาดและดูแผงขายของต่างๆ)

อธิบายประโยค
• I (ไอ): เป็นประธานของประโยค (subject) หมายถึง “ฉัน”

• like (ไลค์): เป็นกริยา (verb) หมายถึง “ชอบ”

• to walk around the market (ทู วอล์ค อะราวนด์ เดอะ มาร์เก็ต): เป็นกรรมของกริยา “like” (object of verb) หมายถึง “เดินเล่นรอบตลาด”

• and (แอนด์): เป็นคำเชื่อม (conjunction)

• see (ซี): เป็นกริยา (verb) หมายถึง “ดู”

• the different stalls (เดอะ ดิฟเฟอเรนท์ สตอลส์): เป็นกรรมของกริยา “see” (object of verb) หมายถึง “แผงขายของต่างๆ”

ดังนั้น
“I” เป็นประธาน
“like” เป็นกริยาหลัก
“to walk around the market” และ “see the different stalls” เป็นกรรม

เพิ่มเติม
ประโยคนี้มีกริยา 2 ตัวคือ like และ see โดยมี and เป็นตัวเชื่อม

to walk around the market และ see the different stalls เป็นกรรมของกริยา like และ see ตามลำดับ

8. Fire station ไฟเออร์ สเตชั่น สถานีดับเพลิง แต่งประโยค
“The fire truck left the fire station quickly. เดอะ ไฟเออร์ ทรัค เลฟท์ เดอะ ไฟเออร์ สเตชั่น ควิกลี่ ” (รถดับเพลิงออกจากสถานีดับเพลิงอย่างรวดเร็ว)

อธิบายประโยค
• The fire truck (เดอะ ไฟเออร์ ทรัค): เป็นประธานของประโยค (subject) หมายถึง “รถดับเพลิง”

• left (เลฟท์): เป็นกริยา (verb) หมายถึง “ออกจาก” ในที่นี้เป็นกริยาที่ไม่ต้องการกรรมโดยตรง (intransitive verb)

• the fire station (เดอะ ไฟเออร์ สเตชั่น): เป็นส่วนขยาย (prepositional phrase) บอกสถานที่ หมายถึง “สถานีดับเพลิง”

• quickly (ควิกลี่): เป็นคำวิเศษณ์ (adverb) บอกวิธีการ หมายถึง “อย่างรวดเร็ว”

ดังนั้น
“The fire truck” เป็นประธาน
“left” เป็นกริยา
“the fire station” และ “quickly” เป็นส่วนขยาย

9. Hotel โฮเทล โรงแรม แต่งประโยค
“We stayed at a luxurious hotel in Bangkok. วี สเตด แอท อะ ลักซ์ชัวเรียส โฮเทล อิน แบงค็อก ” (พวกเราพักที่โรงแรมหรูในกรุงเทพฯ)

อธิบายประโยค
• We (วี): เป็นประธานของประโยค (subject) หมายถึง “พวกเรา”

• stayed (สเตด): เป็นกริยา (verb) หมายถึง “พัก” ในที่นี้เป็นกริยาที่ไม่ต้องการกรรมโดยตรง (intransitive verb)

• at a luxurious hotel (แอท อะ ลักซ์ชัวเรียส โฮเทล): เป็นส่วนขยาย (prepositional phrase) บอกสถานที่ หมายถึง “ที่โรงแรมหรู”

• in Bangkok (อิน แบงค็อก): เป็นส่วนขยาย (prepositional phrase) บอกสถานที่ หมายถึง “ในกรุงเทพฯ”

ดังนั้น
“We” เป็นประธาน
“stayed” เป็นกริยา
“at a luxurious hotel” และ “in Bangkok” เป็นส่วนขยาย

10. Hospital ฮอสพิเทิล โรงพยาบาล แต่งประโยค
“She works at the hospital. ชี เวิร์คส แอท เดอะ ฮอสพิเทิล ” (เธอทำงานที่โรงพยาบาล)

อธิบายประโยค
• She (ชี): เป็นประธานของประโยค (Subject) หมายถึง “เธอ”

• works (เวิร์คส): เป็นกริยาของประโยค (Verb) หมายถึง “ทำงาน”

• at the hospital (แอท เดอะ ฮอสพิเทิล): เป็นส่วนขยาย (Adverbial phrase) บอกสถานที่ว่าทำงาน “ที่โรงพยาบาล”

ในประโยคนี้ไม่มีกรรมตรง (Direct object) เพราะกริยา “works” เป็นกริยาอกรรม (Intransitive verb) คือไม่ต้องการกรรมมารองรับ

11. Library ไลบรารี่ ห้องสมุด แต่งประโยค
“I go to the library to study. ไอ โก ทู เดอะ ไลบรารี่ ทู สตั๊ดดี้ ” (ฉันไปห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือ)

อธิบายประโยค
• I (ไอ): เป็นประธานของประโยค (Subject) หมายถึง “ฉัน”

• go (โก): เป็นกริยาของประโยค (Verb) หมายถึง “ไป”

• to the library (ทู เดอะ ไลบรารี่): เป็นส่วนขยาย (Adverbial phrase) บอกสถานที่ว่าไป “ที่ห้องสมุด”

• to study (ทู สตั๊ดดี้): เป็นส่วนขยาย (Adverbial phrase) บอกจุดประสงค์ของการกระทำว่า “เพื่อเรียน”

ในประโยคนี้ไม่มีกรรมตรง (Direct object) เพราะกริยา “go” เป็นกริยาอกรรม (Intransitive verb) คือไม่ต้องการกรรมมารองรับ

12. Museum มิวเซียม พิพิธภัณฑ์ แต่งประโยค
“We visited the museum yesterday. วี วิสิทเท็ด เดอะ มิวเซียม เยสเตอร์เดย์ ” (พวกเราไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เมื่อวานนี้)

อธิบายประโยค
• We (วี): เป็นประธานของประโยค (Subject) หมายถึง “พวกเรา”

• visited (วิสิทเท็ด): เป็นกริยาของประโยค (Verb) หมายถึง “เยี่ยมชม”

• the museum (เดอะ มิวเซียม): เป็นกรรมของประโยค (Object) หมายถึง “พิพิธภัณฑ์”

• yesterday (เยสเตอร์เดย์): เป็นส่วนขยาย (Adverbial phrase) บอกเวลาว่า “เมื่อวานนี้”

13. Police station โพลิส สเตชั่น สถานีตำรวจ แต่งประโยค
“They took the suspect to the police station for questioning. เดย์ ทุค เดอะ ซัสเพ็คท์ ทู เดอะ โพลิส สเตชั่น ฟอร์ เควสชั่นนิ่ง ” (พวกเขานำตัวผู้ต้องสงสัยไปที่สถานีตำรวจเพื่อสอบปากคำ)

อธิบายประโยค
• They (เดย์): เป็นประธานของประโยค (Subject) หมายถึง “พวกเขา”

• took (ทุค): เป็นกริยาของประโยค (Verb) หมายถึง “พาไป”

• the suspect (เดอะ ซัสเพ็คท์): เป็นกรรมของประโยค (Object) หมายถึง “ผู้ต้องสงสัย”

• to the police station (ทู เดอะ โพลิส สเตชั่น): เป็นส่วนขยาย (Adverbial phrase) บอกสถานที่ว่าพาไป “ที่สถานีตำรวจ”

• for questioning (ฟอร์ เควสชั่นนิ่ง): เป็นส่วนขยาย (Adverbial phrase) บอกจุดประสงค์ว่า “เพื่อสอบปากคำ”

14. Gas station แก๊ส สเตชั่น ปั๊มนํ้ามัน แต่งประโยค
“We stopped at the gas station to refuel the car. วี สต็อปท์ แอท เดอะ แก๊ส สเตชั่น ทู รีฟิวเอิล เดอะ คาร์ ” (พวกเราแวะปั๊มน้ำมันเพื่อเติมน้ำมันรถ)

อธิบายประโยค
• We (วี): เป็นประธานของประโยค (Subject) หมายถึง “พวกเรา”

• stopped (สต็อปท์): เป็นกริยาของประโยค (Verb) หมายถึง “หยุด” หรือ “แวะ”

• at the gas station (แอท เดอะ แก๊ส สเตชั่น): เป็นส่วนขยาย (Adverbial phrase) บอกสถานที่ว่า “ที่ปั๊มน้ำมัน”

• to refuel (ทู รีฟิวเอิล): เป็นส่วนขยาย (Adverbial phrase) บอกจุดประสงค์ว่า “เพื่อเติมน้ำมัน”

• the car (เดอะ คาร์): เป็นกรรมของประโยค (Object) หมายถึง “รถยนต์”

15. Restaurant เรสเทอรองท์ ภัตตาคาร แต่งประโยค
“We went to a nice restaurant for dinner. วี เว้นท์ ทู อะ ไนซ์ เรสเทอรองท์ ฟอร์ ดินเนอร์ ” (พวกเราไปร้านอาหารดีๆ สำหรับอาหารเย็น)

อธิบายประโยค
• We (วี): เป็นประธานของประโยค (Subject) หมายถึง “พวกเรา”

• went (เว้นท์): เป็นกริยาของประโยค (Verb) หมายถึง “ไป”

• to a nice restaurant (ทู อะ ไนซ์ เรสเทอรองท์): เป็นส่วนขยาย (Adverbial phrase) บอกสถานที่ว่าไป “ที่ร้านอาหารดีๆ”

• for dinner (ฟอร์ ดินเนอร์): เป็นส่วนขยาย (Adverbial phrase) บอกจุดประสงค์ว่า “สำหรับอาหารเย็น”

ในประโยคนี้ไม่มีกรรมตรง (Direct object) เพราะกริยา “went” เป็นกริยาอกรรม (Intransitive verb) คือไม่ต้องการกรรมมารองรับ

16. Post office โพสท์ ออฟฟิส ไปรษณีย์ แต่งประโยค
“The post office opens at 8 a.m. เดอะ โพสท์ ออฟฟิส โอเพ่นส์ แอท เอท เอ.เอ็ม ” (ที่ทำการไปรษณีย์เปิดทำการเวลา 8 โมงเช้า)

อธิบายประโยค
• The post office (เดอะ โพสท์ ออฟฟิส): เป็นประธานของประโยค (Subject) หมายถึง “ที่ทำการไปรษณีย์”

• opens (โอเพ่นส์): เป็นกริยาของประโยค (Verb) หมายถึง “เปิดทำการ”

• at 8 a.m. (แอท เอท เอ.เอ็ม): เป็นส่วนขยาย (Adverbial phrase) บอกเวลาว่า “เวลา 8 โมงเช้า”

ในประโยคนี้ไม่มีกรรมตรง (Direct object) เพราะกริยา “opens” เป็นกริยาอกรรม (Intransitive verb) คือไม่ต้องการกรรมมารองรับ

17. Shopping mall ช้อปปิ้ง มอลล์ ศูนย์การค้า แต่งประโยค
“We watched a movie at the cinema in the shopping mall. วี วอทช์ท อะ มูฟวี่ แอท เดอะ ซินีม่า อิน เดอะ ช้อปปิ้ง มอลล์ ” (พวกเราดูหนังที่โรงภาพยนตร์ในห้างสรรพสินค้า)

อธิบายประโยค
• We (วี): เป็นประธานของประโยค (Subject) หมายถึง “พวกเรา”

• watched (วอทช์ท): เป็นกริยาของประโยค (Verb) หมายถึง “ดู”

• a movie (อะ มูฟวี่): เป็นกรรมของประโยค (Object) หมายถึง “ภาพยนตร์”

• at the cinema in the shopping mall (แอท เดอะ ซินีม่า อิน เดอะ ช้อปปิ้ง มอลล์): เป็นส่วนขยาย (Adverbial phrase) บอกสถานที่ว่า “ที่โรงภาพยนตร์ในห้างสรรพสินค้า”

18. School สคูล โรงเรียน แต่งประโยค
“She studies English at school. ชี สตั๊ดดี้ส อิงลิช แอท สคูล ” (เธอเรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียน)

อธิบายประโยค
• She (ชี): เป็นประธานของประโยค (Subject) หมายถึง “เธอ”

• studies (สตั๊ดดี้ส): เป็นกริยาของประโยค (Verb) หมายถึง “เรียน”

• English (อิงลิช): เป็นกรรมของประโยค (Object) หมายถึง “ภาษาอังกฤษ”

• at school (แอท สคูล): เป็นส่วนขยาย (Adverbial phrase) บอกสถานที่ว่า “ที่โรงเรียน”

19. Car park คาร์ พาร์ค ที่จอดรถ แต่งประโยค
“Where is the nearest car park? แวร์ อิส เดอะ เนียเรสท์ คาร์ พาร์ค ” (ที่จอดรถที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ไหน?)

อธิบายประโยค
• Where (แวร์): เป็นคำแสดงคำถาม (Interrogative word) ใช้ถามเกี่ยวกับสถานที่ หมายถึง “ที่ไหน”

• is (อิส): เป็นกริยาช่วย (Auxiliary verb) ในที่นี้ใช้เป็นกริยาหลัก (Main verb) หมายถึง “คือ” หรือ “อยู่”

• the nearest car park (เดอะ เนียเรสท์ คาร์ พาร์ค): เป็นประธานของประโยค (Subject) หมายถึง “ที่จอดรถที่ใกล้ที่สุด”

ประโยคนี้ไม่มีกรรมตรง (Direct object) เนื่องจาก “is” ในที่นี้เป็นกริยาอกรรม (Intransitive verb)

20. University ยูนิเวอร์ซิตี้ มหาวิทยาลัย แต่งประโยค
“She studies at a famous university. ชี สตั๊ดดี้ส แอท อะ เฟมัส ยูนิเวอร์ซิตี้ ” (เธอเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง)

อธิบายประโยค
• She (ชี): เป็นประธานของประโยค (Subject) หมายถึง “เธอ”

• studies (สตั๊ดดี้ส): เป็นกริยาของประโยค (Verb) หมายถึง “เรียน”

• at a famous university (แอท อะ เฟมัส ยูนิเวอร์ซิตี้): เป็นส่วนขยาย (Adverbial phrase) บอกสถานที่ว่า “ที่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง”

ในประโยคนี้ไม่มีกรรมตรง (Direct object) เพราะกริยา “studies” ในที่นี้เป็นกริยาอกรรม (Intransitive verb) คือไม่ต้องการกรรมมารองรับ

21. Stadium สเตเดียม สนามกีฬา แต่งประโยค
“They are building a new stadium in the city. เดย์ อาร์ บิลดิ้ง อะ นิว สเตเดียม อิน เดอะ ซิตี้ ” (พวกเขากำลังสร้างสนามกีฬาแห่งใหม่ในเมือง)

อธิบายประโยค
• They (เดย์): เป็นประธานของประโยค (Subject) หมายถึง “พวกเขา”

• are building (อาร์ บิลดิ้ง): เป็นกริยาของประโยค (Verb) หมายถึง “กำลังสร้าง”

• a new stadium (อะ นิว สเตเดียม): เป็นกรรมของประโยค (Object) หมายถึง “สนามกีฬาแห่งใหม่”

• in the city (อิน เดอะ ซิตี้): เป็นส่วนขยาย (Adverbial phrase) บอกสถานที่ว่า “ในเมือง”

22. Cemetery เซ็มมิเทอรี ป่าช้า แต่งประโยค
“We visited the cemetery to lay flowers on the grave. วี วิสิทเท็ด เดอะ เซ็มมิเทอรี ทู เลย์ ฟลาวเวอร์ส ออน เดอะ เกรฟ ” (พวกเราไปเยี่ยมสุสานเพื่อวางดอกไม้บนหลุมศพ)

อธิบายประโยค
• We (วี): เป็นประธานของประโยค (Subject) หมายถึง “พวกเรา”

• visited (วิสิทเท็ด): เป็นกริยาของประโยค (Verb) หมายถึง “เยี่ยมชม” หรือ “ไปเยือน”

• the cemetery (เดอะ เซ็มมิเทอรี): เป็นกรรมของประโยค (Object) หมายถึง “สุสาน”

• to lay flowers (ทู เลย์ ฟลาวเวอร์ส): เป็นส่วนขยาย (Adverbial phrase) บอกจุดประสงค์ว่า “เพื่อวางดอกไม้”

• on the grave (ออน เดอะ เกรฟ): เป็นส่วนขยาย (Adverbial phrase) บอกสถานที่ว่า “บนหลุมศพ”

23. Zoo ซู สวนสัตว์ แต่งประโยค
“The children were excited to see the elephants at the zoo. เดอะ ชิลเดริน เวอร์ เอ็กไซเท็ด ทู ซี ดิ เอเลเฟินท์ส แอท เดอะ ซู ” (เด็กๆตื่นเต้นที่จะได้เห็นช้างที่สวนสัตว์)

อธิบายประโยค
• The children (เดอะ ชิลเดริน): เป็นประธานของประโยค (Subject) หมายถึง “เด็ก ๆ”

• were excited (เวอร์ เอ็กไซเท็ด): เป็นกริยาของประโยค (Verb) หมายถึง “รู้สึกตื่นเต้น”

• to see the elephants (ทู ซี ดิ เอเลเฟินท์ส): เป็นส่วนขยาย (Adverbial phrase) บอกจุดประสงค์ว่า “ที่จะเห็นช้าง”

• at the zoo (แอท เดอะ ซู): เป็นส่วนขยาย (Adverbial phrase) บอกสถานที่ว่า “ที่สวนสัตว์”

ในประโยคนี้ไม่มีกรรมตรง (Direct object) เพราะกริยา “were excited” ในที่นี้เป็นกริยาอกรรม (Intransitive verb) คือไม่ต้องการกรรมมารองรับ

24. Train station เทรน สเตชั่น สถานีรถไฟ แต่งประโยค
“I arrived at the train station early. ไอ อะไรฟด์ แอท เดอะ เทรน สเตชั่น เออร์ลี ” (ฉันมาถึงสถานีรถไฟแต่เช้า)

อธิบายประโยค
• I (ไอ): เป็นประธานของประโยค (Subject) หมายถึง “ฉัน”

• arrived (อะไรฟด์): เป็นกริยาของประโยค (Verb) หมายถึง “มาถึง”

• at the train station (แอท เดอะ เทรน สเตชั่น): เป็นส่วนขยาย (Adverbial phrase) บอกสถานที่ว่า “ที่สถานีรถไฟ”

• early (เออร์ลี): เป็นส่วนขยาย (Adverbial phrase) บอกเวลาว่า “แต่เช้า”

ในประโยคนี้ไม่มีกรรมตรง (Direct object) เพราะกริยา “arrived” เป็นกริยาอกรรม (Intransitive verb) คือไม่ต้องการกรรมมารองรับ


เรียนวิชาทัศนศิลป์ คาบเย็น

สวัสดีทุกคนครับ ยินดีต้อนรับเข้าสู่คาบเรียนวิชาทัศนศิลป์ในช่วงเย็นของวันนี้ หลังจากที่เราได้เรียนรู้พื้นฐานและเทคนิคต่างๆ ในวิชาภาษาอังกฤษกันมาพอสมควรแล้ว วันนี้เราจะมาเจาะลึกกันในเรื่องที่น่าสนใจและมีความสำคัญอย่างยิ่ง นั่นก็คือ “สุนทรียะแห่งศิลปะ” และ “ศิลปวิจารณ์” ครับ

ลองถามตัวเองดูนะครับ… เวลาที่เราได้ชื่นชมภาพวาดที่สวยงาม ประติมากรรมที่น่าทึ่ง หรือแม้แต่ภาพถ่ายที่สื่ออารมณ์ได้อย่างลึกซึ้ง เคยสงสัยไหมครับว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เรารู้สึก “สวยงาม” “ประทับใจ” หรือ “มีความหมาย” กับงานศิลปะชิ้นนั้น?

นั่นแหละครับ คือหัวใจของคำว่า “สุนทรียะ” ในทางศิลปะ มันคือการศึกษาถึงความงาม คุณค่า และประสบการณ์ที่เราได้รับจากงานศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกทางอารมณ์ ความคิดที่กระตุ้น หรือแม้แต่ความเข้าใจในโลกที่เราอาศัยอยู่

แต่การชื่นชมศิลปะไม่ได้หยุดอยู่แค่ความรู้สึกส่วนตัวของเราเท่านั้นนะครับ ในโลกของศิลปะ เรายังมีการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และวิเคราะห์งานศิลปะอย่างเป็นระบบ ซึ่งนั่นก็คือเรื่องของ “ศิลปวิจารณ์”

ศิลปวิจารณ์ไม่ใช่เพียงแค่การบอกว่า “สวย” หรือ “ไม่สวย” แต่เป็นการทำความเข้าใจถึงองค์ประกอบต่างๆ ของงานศิลปะ เจตนาของศิลปิน บริบททางสังคมและประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผลกระทบที่งานศิลปะชิ้นนั้นมีต่อผู้ชม

ในคาบเรียนวันนี้ เราจะมาสำรวจกันว่าอะไรคือปัจจัยที่ก่อให้เกิดสุนทรียะในงานศิลปะ เราจะเรียนรู้วิธีการมองและวิเคราะห์งานศิลปะอย่างมีหลักเกณฑ์ ผ่านกระบวนการของศิลปวิจารณ์ ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถชื่นชมและเข้าใจศิลปะได้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น

คาบเรียนนี้อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องของ “การมอง” และ “การคิด” มากกว่า “การลงมือทำ” แต่ผมเชื่อว่ามันจะเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้กับพวกเราทุกคน ทำให้เราสามารถสร้างสรรค์งานศิลปะได้อย่างมีเป้าหมายและเข้าใจในคุณค่าของสิ่งที่เราทำมากยิ่งขึ้น

เตรียมใจให้พร้อมนะครับ สำหรับการเดินทางสู่โลกแห่งความงามและความหมายของศิลปะในช่วงเย็นวันนี้ เรามาเริ่มสำรวจความมหัศจรรย์ของสุนทรียะแห่งศิลปะ และศาสตร์แห่งการวิจารณ์ศิลปะกันเลยครับ

📌 ศิลปวิจารณ์ (Art Criticism)

“ศิลปะวิจารณ์” (Art Criticism) คือกระบวนการหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์และประเมินงานศิลปะ ซึ่งมุ่งเน้นการพูดคุย บรรยาย วิเคราะห์ และสรุปคุณค่าของงานศิลปะเพื่อเสนอความเห็นและคำแนะนำต่อผู้ดู ผู้สร้างสรรค์งานศิลปะ หรือสาธารณะชนทั่วไป

การวิจารณ์งานศิลปะ คือการให้ความคิดเห็นและประเมินผลงานศิลปะตามหลักเกณฑ์และหลักการของศิลปะ เพื่อช่วยในการปรับปรุงและประเมินผลงานศิลปะ นักวิจารณ์ควรมีความรู้ทางศิลปะและประวัติศาสตร์ศิลปะ เข้าใจเรื่องสุนทรียศาสตร์และมีวิสัยทัศน์กว้างขวาง และสามารถแสดงความคิดเห็นตามความรู้สึกและประสบการณ์ของตนเองได้

📌 ศิลปะวิจารณ์มีวัตถุประสงค์หลัก 3 ด้าน คือ

1. การวิเคราะห์ (Analysis) การแยกแยะและวิเคราะห์โครงสร้างและองค์ประกอบของงานศิลปะ เช่น การพิจารณาทัศนธาตุที่นำมาใช้ การจัดองค์ประกอบ และการใช้เทคนิคเพื่อให้เข้าใจว่าศิลปินใช้องค์ประกอบเหล่านี้เพื่อสร้างความหมายและความรู้สึกอย่างไรในงานศิลปะ

2. การวิจารณ์ (Critique) ความคิดเห็นของนักวิจารณ์เกี่ยวกับงานศิลปะ โดยการวิจารณ์เน้นความความจริงในด้านดีและข้อบกพร่องของงาน มีการให้คำแนะนำสำหรับการปรับปรุงหรือพัฒนางานศิลปะในอนาคต

3. การวิพากษ์ (Interpretation) การพยายามเข้าใจความหมายที่ศิลปินสื่อออกมาในงานศิลปะ นักวิจารณ์พยายามตีความและอธิบายว่าผู้สร้างสรรค์งานเล่าเรื่องหรือสื่อสารสิ่งใดผ่านผลงานของเขา

ตัวอย่างการวิจารณ์ ศิลปะวิจารณ์โดยใช้วัตถุประสงค์หลัก 3 ด้าน

JPA 8
ภาพวาดศิลปะลายต้นไม้ พื้นหลังสีเหลือง-ฟ้า โดย ภาพวิว

การวิเคราะห์ภาพวาดศิลปะลายต้นไม้ที่มีพื้นหลังสีเหลือง-ฟ้าสามารถแบ่งออกเป็นส่วนประกอบหลัก ๆ ดังนี้

1. โครงสร้างและการจัดองค์ประกอบ (Composition)

1.1 จุดเด่น (Focal Point) ต้นไม้ถูกวางไว้ตรงกลางภาพ เป็นจุดเด่นที่ดึงดูดสายตา ด้วยลายเส้นที่ชัดเจนและสีเข้มตัดกับพื้นหลัง ทำให้ต้นไม้กลายเป็นศูนย์กลางของภาพ

1.2 สมดุล (Balance) ภาพแบ่งออกเป็นสองส่วนชัดเจน ด้านซ้ายเป็นโทนสีเหลืองอบอุ่น (Warm Tone) และด้านขวาเป็นโทนสีน้ำเงินเย็น (Cool Tone) การแบ่งครึ่งนี้สร้างสมดุลแบบสมมาตร (Symmetry) แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความแตกต่างที่ชัดเจน

1.3 เส้นนำสายตา (Leading Lines) กิ่งก้านของต้นไม้แผ่ออกไปทั้งสองด้าน ช่วยนำสายตาของผู้ชมให้เคลื่อนไหวไปตามภาพ และเชื่อมโยงระหว่างสองส่วนของพื้นหลัง

2. ทัศนธาตุ (Visual Elements)

2.1 สี (Color) ด้านซ้ายใช้สีเหลือง-ส้ม แสดงถึงความอบอุ่น สื่อถึงช่วงเวลากลางวันหรือพระอาทิตย์ตก ด้านขวาใช้สีน้ำเงินเข้ม-ฟ้า สื่อถึงกลางคืนหรือความเงียบสงบ ด้วยดวงจันทร์และดวงดาวที่กระจายอยู่ การใช้สีที่ตัดกัน (Contrast) นี้สร้างความรู้สึกของการเปลี่ยนแปลงหรือความขัดแย้งระหว่างวันและคืน

2.2 เส้น (Line) เส้นของกิ่งก้านต้นไม้มีความบางและโค้งงอ แสดงถึงความเป็นธรรมชาติและอ่อนไหว ลายเส้นมีความเรียบง่ายแต่ละเอียดอ่อน

2.3 พื้นผิว (Texture) พื้นหลังใช้เทคนิคสีน้ำ (Watercolor) ที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวลและลื่นไหล ตรงข้ามกับลายเส้นของต้นไม้ที่คมและแข็งกว่าเล็กน้อย

2.4 รูปทรง (Shape) ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นวงกลมขนาดใหญ่ ช่วยเพิ่มความรู้สึกสมดุลและความกลมกลืนในภาพ

3. เทคนิคที่ใช้ (Technique)

3.1 ภาพนี้ใช้เทคนิคสีน้ำหรือสีที่ให้เอฟเฟกต์คล้ายสีน้ำ ซึ่งทำให้สีมีการไล่เฉด (Gradient) และการซึมของสีที่ดูเป็นธรรมชาติ

3.2 การใช้จุดสีเล็ก ๆ (Dots) บนกิ่งไม้และพื้นหลัง (เช่น ดวงดาวหรือใบไม้) เพิ่มความรู้สึกมีชีวิตชีวาและเคลื่อนไหว

3.3 การตัดกันของสี (Contrast) และการแบ่งครึ่งพื้นหลังช่วยเน้นแนวคิดของความสองด้าน (Duality) เช่น วันและคืน ความอบอุ่นและความเย็น

4. ความหมายและความรู้สึก (Meaning and Emotion)

4.1 แนวคิด (Concept) ภาพนี้จะสื่อถึงความสมดุลของธรรมชาติ ผ่านการนำเสนอวันและคืนในภาพเดียวกัน ต้นไม้ที่อยู่ตรงกลางอาจเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตที่เชื่อมโยงทั้งสองช่วงเวลาเข้าด้วยกัน

4.2 อารมณ์ (Mood) ด้านซ้าย (สีเหลือง) ให้ความรู้สึกอบอุ่น กระตือรือร้น และมีพลัง ด้านขวา (สีน้ำเงิน) ให้ความรู้สึกสงบ เงียบสงบ และลึกลับ การรวมทั้งสองส่วนนี้เข้าด้วยกันสร้างความรู้สึกของความกลมกลืนและความสมบูรณ์

4.3 สัญลักษณ์ (Symbolism) ต้นไม้เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตและการเติบโต การที่มันอยู่ในทั้งสองสภาพแวดล้อม (วันและคืน) อาจสื่อถึงความยืดหยุ่นและการปรับตัวของสิ่งมีชีวิต

5. สรุป

ศิลปินใช้การแบ่งครึ่งภาพด้วยสีที่ตัดกัน (เหลือง-น้ำเงิน) และวางต้นไม้เป็นจุดศูนย์กลางเพื่อสื่อถึงความสมดุลของธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงของเวลา (วันและคืน) เทคนิคสีน้ำและการใช้จุดสีเล็ก ๆ ช่วยเพิ่มความรู้สึกมีชีวิตชีวาและความอ่อนไหว ภาพนี้ให้ความรู้สึกสงบ กลมกลืน และชวนให้ผู้ชมตีความถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ รวมถึงแนวคิดของความสมดุลในชีวิต

การวิจารณ์ (Critique) ภาพวาดศิลปะลายต้นไม้ที่มีพื้นหลังสีเหลือง-ฟ้าสามารถแบ่งออกเป็นส่วนประกอบหลัก ๆ ดังนี้

ภาพวาดนี้แสดงให้เห็นถึงต้นไม้ที่มีกิ่งก้านเปลือยเปล่า ตั้งตระหง่านอยู่กึ่งกลางภาพ โดยมีพื้นหลังแบ่งออกเป็นสองโทนสีอย่างชัดเจน ทางด้านซ้ายเป็นโทนสีอบอุ่นของสีเหลืองและส้ม พร้อมด้วยดวงกลมสีขาวนวลคล้ายดวงอาทิตย์หรือพระจันทร์เต็มดวง ในขณะที่ทางด้านขวาเป็นโทนสีเย็นของสีฟ้าเข้มและน้ำเงิน มีพระจันทร์เสี้ยวสีขาวสว่างและดวงดาวเล็กๆ กระจัดกระจายอยู่

1. ด้านดีของงานศิลปะ

1.1 แนวคิดที่น่าสนใจ การแบ่งครึ่งภาพด้วยสองโทนสีที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน และการวางต้นไม้ไว้ตรงกลางเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างสองบรรยากาศนี้ เป็นแนวคิดที่น่าสนใจและกระตุ้นให้เกิดการตีความถึงความแตกต่าง ความสมดุล หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนแปลง

1.2 การใช้สีที่โดดเด่น การเลือกใช้สีเหลือง ส้ม ฟ้า และน้ำเงิน เป็นสีหลัก ทำให้ภาพดูสดใสและมีชีวิตชีวา ความแตกต่างของโทนสีช่วยสร้างความน่าสนใจและดึงดูดสายตา

1.3 การจัดวางองค์ประกอบ การวางต้นไม้ไว้กึ่งกลางภาพสร้างความสมดุล และทำให้ต้นไม้กลายเป็นจุดสนใจหลักของภาพ ดวงกลมทางด้านซ้ายและพระจันทร์เสี้ยวทางด้านขวาช่วยเสริมเรื่องราวและเพิ่มมิติให้กับภาพ

1.4 รายละเอียดของต้นไม้ แม้ว่ากิ่งก้านจะดูเรียบง่าย แต่ก็แสดงให้เห็นถึงลักษณะของต้นไม้ที่กำลังผลัดใบหรืออยู่ในช่วงฤดูหนาว ซึ่งอาจสื่อถึงความเงียบสงบหรือการเปลี่ยนแปลง

2. ข้อบกพร่องของงานศิลปะ

2.1 ความเรียบง่ายของรายละเอียด รายละเอียดของต้นไม้และพื้นผิวโดยรวมยังดูเรียบง่าย อาจขาดมิติและความลึก ทำให้ภาพดูแบนราบ

2.2 การเชื่อมต่อของพื้นหลัง เส้นแบ่งระหว่างสองโทนสีของพื้นหลังดูแข็งกระด้าง อาจทำให้ขาดความเป็นธรรมชาติและความกลมกลืน

2.3 ความสมจริงของแสงและเงา การแสดงออกของแสงและเงาในภาพยังไม่ชัดเจนนัก ทั้งในส่วนของต้นไม้ ดวงกลม และพระจันทร์เสี้ยว ทำให้วัตถุดูไม่สมจริงและขาดมิติ

2.4 ความสม่ำเสมอของสไตล์ ดูเหมือนว่าสไตล์การวาดในส่วนของต้นไม้และพื้นหลังอาจมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้ภาพโดยรวมขาดความเป็นเอกภาพ

3. คำแนะนำสำหรับการปรับปรุงและพัฒนา

3.1 เพิ่มรายละเอียดและมิติ ลองเพิ่มรายละเอียดให้กับเปลือกไม้ กิ่งก้าน และใบไม้ (หากต้องการสื่อถึงฤดูอื่น) การใช้เทคนิคการลงสีที่สร้างพื้นผิวและแสงเงาจะช่วยเพิ่มมิติและความสมจริงให้กับต้นไม้

3.2 ปรับปรุงการเชื่อมต่อของพื้นหลัง ลองใช้เทคนิคการไล่สีหรือการเบลนด์สีบริเวณเส้นแบ่งระหว่างสีเหลืองและสีฟ้า เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านของสีดูเป็นธรรมชาติและนุ่มนวลยิ่งขึ้น อาจมีการใช้สีม่วงหรือสีเขียวเข้ามาช่วยในการเชื่อมต่อ

3.3 ศึกษาเรื่องแสงและเงา ทำความเข้าใจเกี่ยวกับทิศทางของแสงที่ส่องมายังวัตถุ และลองเพิ่มเงาให้กับต้นไม้ ดวงกลม และพระจันทร์เสี้ยว เพื่อสร้างความลึกและทำให้วัตถุดูมีน้ำหนักมากขึ้น

3.4 พัฒนาสไตล์ให้เป็นเอกภาพ ลองกำหนดสไตล์การวาดที่ชัดเจนและนำมาใช้กับทุกส่วนของภาพ เพื่อให้งานศิลปะมีความสอดคล้องกันและแสดงออกถึงเอกลักษณ์ของศิลปิน

3.5 ทดลองกับองค์ประกอบเพิ่มเติม อาจลองเพิ่มองค์ประกอบอื่นๆ เข้าไปในภาพ เช่น พื้นดินที่มีรายละเอียดมากขึ้น หรือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก เพื่อเพิ่มเรื่องราวและความน่าสนใจให้กับภาพ

โดยรวมแล้ว ภาพวาดนี้มีแนวคิดที่น่าสนใจและการใช้สีที่โดดเด่น แต่ยังมีโอกาสในการพัฒนาในด้านรายละเอียด มิติ แสงเงา และความกลมกลืนขององค์ประกอบต่างๆ การนำคำแนะนำเหล่านี้ไปปรับปรุงจะช่วยให้งานศิลปะชิ้นนี้มีความสมบูรณ์และน่าสนใจยิ่งขึ้นในอนาคต

การวิพากษ์ (Interpretation) ภาพวาดศิลปะลายต้นไม้ที่มีพื้นหลังสีเหลือง-ฟ้าสามารถแบ่งออกเป็นส่วนประกอบหลัก ๆ ดังนี้

ภาพวาดต้นไม้ที่มีพื้นหลังแบ่งเป็นสองโทนสีอย่างชัดเจนนี้ ชวนให้เราครุ่นคิดถึงความหมายที่ศิลปินต้องการสื่อสารออกมา การแบ่งครึ่งภาพอย่างเด่นชัดระหว่างสีเหลือง-ส้มอันอบอุ่นทางด้านซ้าย และสีฟ้า-น้ำเงินอันเย็นเยือกทางด้านขวา พร้อมด้วยดวงกลมสีขาวนวลและพระจันทร์เสี้ยวสีขาวสว่าง อาจเป็นสัญลักษณ์แทน ความเป็นคู่ (Duality) ที่ปรากฏอยู่ในธรรมชาติและชีวิต

1. การตีความสัญลักษณ์และเรื่องราว

1.1 กลางวันและกลางคืน (Day and Night) การแบ่งสีอาจเป็นตัวแทนของช่วงเวลาที่แตกต่างกันของวัน ด้านสีเหลืองและดวงกลมสื่อถึง กลางวัน ความสว่าง พลังงาน ความอบอุ่น และการเติบโต ในขณะที่ด้านสีฟ้า พระจันทร์เสี้ยว และดวงดาว สื่อถึง กลางคืน ความเงียบสงบ ความลึกลับ การพักผ่อน และความฝัน

1.2 หยินและหยาง (Yin and Yang) แนวคิดเรื่องความเป็นคู่ที่สมดุล อาจถูกสื่อผ่านการแบ่งแยกนี้ สีเหลืองและส้มอาจแทน หยาง ซึ่งเป็นพลังงานที่กระตือรือร้น สว่าง และเคลื่อนไหว ในขณะที่สีฟ้าและน้ำเงินอาจแทน หยิน ซึ่งเป็นพลังงานที่สงบ เย็น และรองรับ

1.3 ความแตกต่างที่อยู่ร่วมกัน (Opposites Coexisting) ต้นไม้ที่ตั้งอยู่ตรงกลาง รากหยั่งลึกลงในความมืดมิด และกิ่งก้านชูขึ้นสู่ความสว่าง อาจเป็นสัญลักษณ์ของการเชื่อมโยงระหว่างสองขั้วที่แตกต่างกันนี้ แสดงให้เห็นว่าความแตกต่างสามารถอยู่ร่วมกันและพึ่งพาอาศัยกันได้

1.4 วัฏจักรและการเปลี่ยนแปลง (Cycle and Change) การมีทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ในภาพเดียว อาจสื่อถึงวัฏจักรของเวลา การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล หรือแม้แต่วงจรชีวิตและความตาย ต้นไม้ที่ดูเหมือนจะผลัดใบ อาจเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงและการเริ่มต้นใหม่

1.5 ความหวังและการเติบโต (Hope and Growth) แม้ว่าต้นไม้จะดูเปลือยเปล่า แต่ก็ยังคงตั้งตระหง่านอย่างมั่นคง กิ่งก้านที่ชี้ขึ้นอาจสื่อถึงความหวัง การเติบโต และการแสวงหาสิ่งใหม่ๆ จุดสีเขียวและเหลืองเล็กๆ บนกิ่งก้านอาจเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นของชีวิตใหม่หรือการกลับมาของฤดูใบไม้ผลิ

1.6 ความเงียบสงบและการไตร่ตรอง (Silence and Contemplation) บรรยากาศโดยรวมของภาพให้ความรู้สึกถึงความเงียบสงบ โดยเฉพาะในส่วนของกลางคืน ต้นไม้อาจเป็นสัญลักษณ์ของการยืนหยัดอย่างโดดเดี่ยว การไตร่ตรอง และการเชื่อมโยงกับธรรมชาติ

2. เรื่องราวที่ศิลปินอาจต้องการเล่า

ศิลปินต้องการเล่าเรื่องราวของการ เดินทางของชีวิต ที่ต้องเผชิญทั้งความสว่างและความมืด ความสุขและความเศร้า การเติบโตและการร่วงโรย แต่ยังคงหยั่งรากลึกและยืนหยัดต่อไป หรือต้องการสื่อถึง ความสมดุลและความกลมกลืน ที่มีอยู่ในธรรมชาติ แม้จะมีความแตกต่างหลากหลาย

นอกจากนี้ ศิลปินอาจต้องการให้ผู้ชมได้ ใคร่ครวญถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับธรรมชาติ และวัฏจักรของชีวิต การมีทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อาจกระตุ้นให้เกิดการตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่ไม่หยุดนิ่ง และการยอมรับทั้งด้านสว่างและด้านมืดในตนเองและโลก

โดยสรุปแล้ว ภาพวาดนี้ไม่ได้เป็นเพียงภาพของต้นไม้ แต่เป็น ภาพสัญลักษณ์ที่เต็มไปด้วยความหมาย ชวนให้ผู้ชมตีความถึงความเป็นคู่ การเปลี่ยนแปลง วัฏจักรชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ศิลปินอาจใช้ภาพนี้เป็นเครื่องมือในการสำรวจและสื่อสารเกี่ยวกับสภาวะของโลกและจิตใจมนุษย์ ซึ่งเปิดกว้างให้ผู้ชมแต่ละคนได้ค้นพบความหมายที่แตกต่างกันไปตามประสบการณ์และมุมมองของตนเอง

ศิลปะวิจารณ์มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความเข้าใจและการประเมินค่าของงานศิลปะในสังคม นักวิจารณ์ศิลปะมีความสามารถในการนำเสนอข้อมูลและวิเคราะห์อย่างมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับศิลปะ ซึ่งช่วยในการส่งเสริมการพัฒนาของศิลปินและการเสนองานศิลปะให้กับสาธารณะในแง่มุมต่างๆ

สรุป คือ ศิลปวิจารณ์เป็นกระบวนการที่ช่วยให้คนอื่น ๆ ได้รับความเข้าใจและประเมินค่างานศิลปะ โดยมุ่งเน้นการวิเคราะห์และการอธิบายเพื่อส่งผ่านความรู้และความเข้าใจในด้านต่าง ๆ ของงานศิลปะนั้น ๆ และส่งเสริมการพัฒนาวงการศิลปะของสังคมเราได้อย่างสร้างสรรค์และมีคุณค่า

📌 นักวิจารณ์ศิลปะที่ดี ต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้

1. การเปิดกว้างทางความคิดและรับฟัง นักวิจารณ์ศิลปะที่ดีควรเปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นจากศิลปินหรือผู้ชมศิลปะ เพื่อพัฒนาความเข้าใจในศิลปะอย่างต่อเนื่อง

2. ความสัมพันธ์กับวงการศิลปะ สามารถเข้าถึงข้อมูลและก็ทราบข่าวสารข้อมูลในวงการศิลปะได้อย่างรวดเร็ว และสามารถกติดตามพัฒนาการของศิลปะได้อย่างใกล้ชิด

3. การยอมรับการเปลี่ยนแปลง นักวิจารณ์ศิลปะที่ดี ควรเป็นผู้ที่อยู่ร่วมกันและก็ยอมรับในการเปลี่ยนแปลงทางศิลปะ รู้จักการปรับตัว และก็ปรับเปลี่ยนความคิดเห็น เมื่อมีการพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงในวงการศิลปะ

4. ความยืดหยุ่น เปิดกว้างทางความคิด นักวิจารณ์ศิลปะ ไม่ควรจำกัดเพียงในกรอบหนึ่งๆเท่านั้น ควรสามารถใช้แนวคิดและเครื่องมือต่างๆในการวิจารณ์ผลงานศิลปะตามบริบทต่างๆ ด้วยความเหมาะสม

5. ความรับผิดชอบและความสุจริตใจ นักวิจารณ์ศิลปะ ควรรับผิดชอบต่อความถูกต้องและก็สุจริตใจในการวิจารณ์งานศิลปะ ไม่ใช้คำวิจารณ์เพื่อการทำร้ายหรือลดทอนคุณค่าของผลงานศิลปะหรือศิลปิน

6. ความมุ่งมั่นในการเรียนรู้ นักวิจารณ์ศิลปะ ควรมีความกระตือรือร้นในการศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับศิลปะอยู่เสมอ โดยการอ่านหนังสือ ท่องอินเตอร์เน็ต การเข้าร่วมนิทรรศการศิลปะ หรือการติดตามเหตุการณ์แต่ละเรื่อง แต่ละราวในวงการศิลปะ

นักวิจารณ์ศิลปะที่มีคุณสมบัติเหล่านี้จะมีความสามารถในการแสดงความคิดเห็นและวิจารณ์งานศิลปะได้อย่างมีคุณภาพและมูลค่ากับวงการศิลปะให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

📌 ทฤษฎีการสร้างงานศิลปะ มี อยู่ 4 ลักษณะใหญ่ๆ

1. นิยมการเลียนแบบ (Imitational Theory) เน้นการเลียนแบบความงามที่มีในธรรมชาติและก็ถ่ายทอดออกมาในผลงานศิลปะ

maple tree in autumn square lyn voytershark
นิยมการเลียนแบบ (Imitational Theory) S Maple Tree in Autumn – Square is a painting by Lyn Voytershark which was uploaded on March 3rd, 2014. by Lyn Voytershark

2. นิยมสร้างรูปทรงที่สวยงาม (Formalism Theory) เน้นการสร้างรูปทรงใหม่ให้มีความสวยงามโดยใช้เทคนิคต่างๆ

slide20 l
นิยมสร้างรูปทรงที่สวยงาม (Formalism Theory) Formalism. Objective: You will compare and contrast artwork in order to define formalism. by marilynnd

3. นิยมแสดงอารมณ์ (Emotional Theory) เน้นการสร้างผลงานที่แสดงความรู้สึกและอารมณ์ของศิลปินเป็นหลัก

abstraction of love kanika vaid
Abstraction Of Love is a painting by Kanika Vaid which was uploaded on August 29th, 2013.

4. นิยมแสดงจินตนาการ (Imagination Theory) เน้นการแสดงภาพจากจินตนาการหรือความคิดฝันที่แตกต่างไปจากธรรมชาติหรือสิ่งที่มีอยู่

painters block kyle simpson
นิยมแสดงจินตนาการ (Imagination Theory) Painters Block Painting by Kyle Simpson – Fine Art America

ทฤษฎีที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ช่วยให้เราเข้าใจและคิดเปรียบเทียบผลงานศิลปะต่างๆ และช่วยในการปรับปรุงและพัฒนาผลงานศิลปะให้ดียิ่งขึ้นตามหลักการและก็วิสัยทัศน์ของศิลปิน

📌 องค์ประกอบของศิลปะ ประกอบไปด้วย 3 ส่วนสำคัญ

1. ศิลปิน ศิลปินเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะแทรกความคิดและความรู้ของตนเองลงไปในผลงานศิลปะที่สร้างขึ้น เขาเป็นผู้นำเสนอความคิดความรู้สึกและเหตุผลของตนเอง ผ่านทางผลงานศิลปะของเขา

2. ผลงานศิลปะ งานศิลปะเป็นผลงานที่ศิลปินสร้างขึ้นมาคือสื่อกลางที่ถ่ายทอดความคิดและอารมณ์ความรู้สึกของศิลปินนั้นเอง ผลงานศิลปะมีหลายรูปแบบ ก็คือจิตรกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม หรือการแสดง เป็นต้น

3. คนดู คนชมหรือว่าคนอ่าน เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการวิจารณ์และก็ประเมินงานศิลปะ อาจกล่าวได้ว่า ความคิดเห็นเกี่ยวกับงานศิลปะนั้นๆ คนดูมีบทบาทในการรับรู้สื่อสารถึงความสวยงาม ความคิดอารมณ์ ความรู้สึก อันเป็นผลจากสาระที่ปรากฎอยู่ในงานศิลปะ

การวิจารณ์ศิลปะเป็นการตัดสินคุณค่าของงานศิลปะ และมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมพัฒนาผู้สร้างสรรค์และผลงาน การวิจารณ์ควรทำโดยมีข้อมูลแล้วก็เหตุผลที่ถูกต้องตรงไปตรงมา ไม่มีอคติเพื่อช่วยผู้สร้างสรรค์ปรับปรุงผลงานศิลปะให้ดีขึ้น

นอกจากนี้หากการวิจารณ์เปิดโอกาสให้คนดูหรือผู้สนใจทั่วไปเข้าร่วมการบรรยายหรือร่วมสนทนาเกี่ยวกับศิลปะ การแลกเปลี่ยนความรู้เป็นการเสริมสร้างความเข้าใจในศิลปะมากยิ่งขึ้น

การวิเคราะห์และประเมินคุณค่าของงานศิลปะ เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนมีความสำคัญส่งเสริมความเข้าใจให้เห็นคุณค่าและความสำคัญของศิลปะในแง่มุมต่างๆ

📌 การวิเคราะห์แล้วก็การประเมินนั้น ครอบคลุมด้านความงาม ด้านสาระ ด้านอารมณ์ความรู้สึก ดังต่อไปนี้

1. ด้านความงาม 

1.1 วิเคราะห์การใช้ทัศนธาตุทางศิลปะ พิจารณาในเรื่องของคุณค่าทักษะด้านฝีมือ ว่าศิลปินใช้ทัศนธาตุทางศิลปะและก็การจัดวางองค์ประกอบศิลป์อย่างไรในผลงานเพื่อสร้างความสวยงามและสร้างความประทับใจ

1.2 การวิจารณ์การจัดองค์ประกอบ ตรวจสอบว่าผลงานมีการจัดวางรูปทรงหรือทัศนธาตุส่วนต่างๆมีรายละเอียดอย่างไร เพื่อส่งเสริมให้เกิดความสวยงามเป็นไปตามหลักการจัดองค์ประกอบศิลป์ เช่น ความกลมกลืน ความสมดุล เป็นต้น

1.3 การคิดเปรียบเทียบ การเปรียบเทียบผลงานศิลปะชิ้นนี้กับผลงานชิ้นอื่นๆ ในแนวทางเดียวกัน หรือยุคสมัยเดียวกัน เพื่อเห็นความแตกต่างและก็ความเหมือนแบบเฉพาะเจาะจงในทุกแง่มุม

2. ด้านสาระ

2.1 การวิเคราะห์ความมีสาระ สำรวจเนื้อหาสาระในผลงานมีความน่าสนใจ เช่น ด้านสังคม ศาสนา การเมือง ปัญญา ความคิดจินตนาการหรือความฝัน

2.2 การประเมินการสื่อความหมาย พิจารณาว่าผลงานสามารถสื่อความหมายและความรู้สึกได้ถึงผู้ชมอย่างไรบ้าง

3. ด้านอารมณ์ความรู้สึก

3.1 การวิเคราะห์การสร้างอารมณ์ พิจารณาว่าผลงานสามารถกระตุ้นอารมณ์และความรู้สึก สื่อความหมายคือผู้ชมได้อย่างไร การสื่อความหมายซึ่งเป็นผลของการใช้เทคนิค เพื่อการแสดงออกทางความคิด พลังความรู้สึกที่ปรากฎในงาน

3.2 การประเมินความเป็นเอกลักษณ์ สำรวจว่าผลงานมีความเป็นเอกลักษณ์หรือไม่อย่างไร และมีความแตกต่างจากผลงานอื่นๆได้อย่างชัดเจน

การวิเคราะห์และก็การประเมินคุณค่าของศิลปะเป็นกระบวนการที่มาจากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้วิเคราะห์ อาจจะมีมุมมองที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับบุคคลแต่ละคน

ดังนั้น การวิเคราะห์และก็การประเมินศิลปะควรเป็นกระบวนการที่มีการสนทนา แล้วก็มีการถกเถียงแลกเปลี่ยนกันในหมู่ผู้สนใจศิลปะ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจแล้วก็ประเมินจากมุมมองที่หลากหลายร่วมกัน

การวิจารณ์และการวิเคราะห์งานศิลปะ มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความเข้าใจและการประเมินคุณค่าของงานศิลปะ โดยการนำเสนอความคิดเห็นแล้วก็การประเมินผลงานศิลปะ จะช่วยส่งเสริมการพัฒนาและปรับปรุงผลงานให้ดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้ การวิจารณ์ศิลปะยังเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสนับสนุนอารมณ์ความรู้สึกและความรู้ของผู้รู้ การพูดถึงงานศิลปะและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับศิลปะเป็นวิธีที่สำคัญในการสร้างความสนใจและส่งผลถึงการเข้าใจศิลปะและวัฒนธรรมต่างๆในสังคม

ศิลปะที่แท้จริงแล้วเป็นการสร้างสรรค์ผลงานที่สื่อความคิดและความรู้สึกของศิลปินส่งถึงผู้ชมหรือผู้ดูงานศิลปะ ผู้ดูงานศิลปะ มีบทบาทสำคัญในการตีความและประเมินค่าของผลงาน นอกจากนี้ การวิจารณ์ศิลปะมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเข้าใจและการพัฒนาของศิลปะวัฒนธรรมในสังคมของเราด้วย

การใช้หลักการและเหตุผลในการวิจารณ์จะช่วยให้มีการพูดถึงผลงานศิลปะอย่างมีความรู้มีความเข้าใจและมีคุณภาพ ในการแสดงความคิดเห็นและประเมินผลงานได้อย่างถูกต้อง นับว่าเป็นการสร้างประโยชน์ในทุกด้านสำหรับการสร้างสรรค์ศิลปะ รวมไปถึงวงการศิลปะด้วย

บทบาทสำคัญของศิลปินในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะผลงานศิลปะ เป็นสื่อที่ศิลปินใช้ในการแสดงออกถึงความคิดและความรู้สึกของตนเอง ส่วนคนดูหรือคนชมนั้นเป็นผู้ที่มีบทบาทในการตีความได้ตัดสินคุณค่าของผลงานศิลปะ

การวิจารณ์ศิลปะจึงเป็นกระบวนการที่สำคัญในการสร้างเสริมการพัฒนาการของศิลปินและการเข้าใจศิลปะในสังคมได้เป็นอย่างดี การวิจารณ์ศิลปะไม่เพียงแต่เป็นการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความสวยงามและคุณค่าของงาน แต่ยังเป็นการสะท้อนประสบการณ์ส่วนตัว ความรู้สึกและความคิดเห็นที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล

การวิจารณ์ศิลปะที่มีความสุจริตใจและมีพื้นฐานในทฤษฎีสุนทรียศาสตร์นั้นเป็นประโยชน์ในการนำเสนอความคิดเห็นที่มีผลและเสริมสร้างการพัฒนาการให้กับองค์การศิลปะ

นักวิจารณ์ศิลปะที่มีบทบาทสำคัญ เปิดมุมมองสู่ความเข้าใจที่หลากหลายเกี่ยวกับผลงานศิลปะ การวิจารณ์ที่มีประสิทธิภาพสามารถช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้และการเข้าใจ ช่วยในการก่อให้เกิดความสนใจและการสนับสนุนศิลปะในสังคมอีกด้วย

การวิจารณ์ศิลปะเป็นการดำเนินการที่ศิลปินใช้เพื่อวิเคราะห์และประเมินผลงาน ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจมุมมองและความคิดของศิลปินเกี่ยวกับผลงานที่สร้างขึ้นมา

📌 การวิจารณ์ศิลปะต้องพิจารณาสาระสำคัญต่างๆ เพื่อให้ครอบคลุมและเข้าใจครบถ้วน ดังนี้

1. การแสดงออกของทัศนศิลป์

1.1 เนื้อหา การพิจารณาเนื้อหาสาระของผลงานตามแนวคิด เรื่องอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ความหมาย เรื่องราว ความงาม ที่ถูกสร้างขึ้นในผลงานเหล่านี้ เช่น เนื้อหาเกี่ยวกับความเชื่อ เนื้อหาเกี่ยวกับบุคคลสังคม หรือ ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

1.2 รูปแบบ การพิจารณารูปแบบที่สามารถสัมผัสได้อย่างเป็นรูปธรรมเป็นผลจากการใช้ทัศนธาตุต่างๆมาประกอบกัน เช่น มีรูปแบบเหมือนจริง รูปแบบลดทอน หรือรูปแบบตามความรู้สึกจากการจินตนาการ เป็นต้น

1.3 เทคนิคกรรมวิธีและวัสดุ การพิจารณาถึงฝีมือที่ชำนาญเทคนิควิธีการและวัสดุที่ใช้ในการสร้างผลงานศิลปะที่เหมาะสมกับเนื้อหา

2. ความหมายและสัญลักษณ์ การแสดงออกด้วยความหมายและสัญลักษณ์ในงานทัศนศิลป์ มีความหมายและระดับความเข้าใจที่แตกต่างกัน

2.1 ความหมายที่สามารถดูออกและเข้าใจว่าเป็นวัตถุสิ่งของ ระดับนี้เกี่ยวข้องกับการรับรู้ว่าทัศนศิลป์สื่อถึงอะไร คนดูสามารถรู้ว่ารูปที่เห็นเป็นอะไร เช่น ภูเขา อาคาร บ้านเรือน มนุษย์ สัตว์ เป็นต้น ความหมายในระดับนี้เป็นขั้นพื้นฐานของการรับรู้ในภาษาภาพ

2.2 ความหมายที่สามารถดูออกและเข้าใจในสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ ระดับนี้เกี่ยวข้องกับการรับรู้สัญลักษณ์ในทัศนศิลป์ คนดูสามารถรู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่แค่วัสดุที่เป็นแค่ตัวตนเท่านั้น แต่มีความหมายหรือนัยยะบางอย่างแฝงอยู่ เช่น การใช้ภาพบางอย่างเพื่อแสดงสัญลักษณ์ของความรักหรือสันติภาพ ความหมายในระดับนี้เป็นความซับซ้อนลึกซึ้งมากขึ้น

2.3 ความหมายที่สามารถดูออกและเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึก ระดับนี้มีความเกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึกในงานทัศนศิลป์ คนดูสามารถรับรู้และเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกที่ถูกแสดงผ่านทางงานศิลปะ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้จักสิ่งที่แสดงอยู่ แต่รูปภาพนั้นสามารถทำให้รู้สึกได้ในอารมณ์ต่างๆ เช่น ความสุข ความเศร้า ความหดหู่ ความสดชื่น เป็นต้น ความหมายในระดับนี้เป็นความรู้สึกและประสบการณ์ทางอารมณ์ที่ลึกซึ้ง 

ทั้ง 3 ระดับนี้ การแสดงออกในทัศนศิลป์ที่สามารถสร้างความหมายและความรู้ต่างๆ ให้กับผู้ชมได้ในระดับต่างๆ แต่ก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจและประสบการณ์ทางสุนทรียภาพของผู้ชมในแต่ละบุคคลด้วย

3. เนื้อหา การแสดงออกด้วยเนื้อหาในงานศิลปะมีความสำคัญ ส่งผลต่อการวิจารณ์ผลงานศิลปะอย่างมาก ดังนี้

3.1 คุณลักษณะของการสื่อความหมายในทางสุนทรียภาพ เป็นการแสดงออกตามความเข้าใจของแต่ละบุคคลที่มีต่อความงามในธรรมชาติหรืองานศิลปะ เช่น เน้นความสวยงามความสง่า ความระเบียบประณีตในงานศิลปะ เป็นต้น

นักวิจารณ์สามารถพิจารณาถึงการใช้ทัศนธาตุต่างๆในการจัดวางองค์ประกอบต่างๆ เพื่อเน้นความสวยงามในด้านต่างๆของผลงานศิลปะความสวยงามที่แสดงออกในทางสุนทรียภาพอาจจะเชื่อมโยงกับความรู้สึกของศิลปิน ผู้สร้างสรรค์ผลงาน

3.2 คุณลักษณะของการสื่อความหมายในทางอารมณ์ เกี่ยวข้องกับการนำเสนอความรู้สึกและอารมณ์ของมนุษย์ในงานศิลปะ ผู้สร้างสรรค์อาจจะใช้สัญลักษณ์รูปแบบบางอย่าง หรือทัศนธาตุต่างๆ เพื่อแสดงออกถึงความรัก ความดีใจ ความเสียใจ หรือความโกรธ เป็นต้น บนงานที่แสดงออกทางอารมณ์อาจจะมีความหมายที่ซับซ้อน 

4. การถ่ายทอด เป็นสิ่งที่สำคัญของงานศิลปะ การถ่ายทอดเปรียบเสมือนยานพาหนะที่จะนำพาคนดูเข้าสู่โลกของศิลปินผู้สร้างสรรค์ รูปแบบการถ่ายทอดสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ ดังต่อไปนี้

4.1 การถ่ายทอดในลักษณะของความจริง ซึ่งตรงกับทฤษฎี นิยมการเลียนแบบ(Imitational Theory) ในลักษณะนี้ศิลปินจะใช้รูปทรงที่มีมาจากธรรมชาติในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะรูปภาพหรือรายละเอียดที่ถูกแสดงออกมาเป็นเช่นเดียวกันกับความจริงที่มีอยู่ในธรรมชาติ 

ศิลปินจะทำให้ผู้ดูรับรู้งานศิลปะโดยที่ไม่มีการตัดแปลงหรือเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก รูปแบบนี้แสดงถึงความเป็นจริงและส่วนจริงในงานศิลปะ

4.2 การถ่ายทอดในลักษณะของการดัดแปลงแก้ไข ตรงกับทฤษฎี นิยมสร้างรูปทรงที่สวยงาม (Formalism Theory) ในลักษณะนี้ศิลปินใช้รูปทรงที่ดัดแปลงมาจากความจริงในธรรมชาติเพื่อสร้างงานศิลปะให้มีความเป็นไปตามอารมณ์ความรู้สึกของศิลปิน 

รูปแบบนี้สามารถเพิ่มความน่าสนใจและการเรียกร้องความสนใจจากผู้ดูและสามารถสร้างประสบการณ์ทางศิลปะที่แตกต่างไปจากความจริง

4.3 การถ่ายทอดในลักษณะของความหมายและความรู้สึก ตรงกับทฤษฎี นิยมแสดงอารมณ์ (Emotional Theory) ในลักษณะนี้ศิลปินสร้างสรรค์รูปทรงขึ้นใหม่เป็นสิ่งที่ไม่มีในธรรมชาติเพื่อใช้ตอบสนองความคิดความรู้สึกของศิลปิน รูปแบบนี้อาจจะสร้างสรรค์ขึ้นในลักษณะที่ซับซ้อนและอาจจะเป็นการแสดงความรู้สึกลึกซึ้งและมีความหมายทางอารมณ์ ผู้ดูอาจจะต้องตีความงานศิลปะนี้ในมุมมองของความสวยงามให้เป็นความหมายทางอารมณ์ ขึ้นอยู่กับความต้องการของศิลปิน

รูปแบบของการถ่ายทอดเป็นส่วนสำคัญที่มีผลต่อการเข้าใจและการวิจารณ์ของงานศิลปะ เนื่องจากมันสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีที่ผู้ดูรับรู้และตีความของงานศิลปะได้ 

การใช้รูปแบบในการถ่ายทอดสาระสำคัญ คือ การสร้างประสบการณ์ศิลปะที่น่าจดจำและมีความหมายสำหรับผู้ดู

5. การพิจารณาปฐมธาตุทางทัศนศิลป์ เป็นการใช้เครื่องมือและแนวคิดทางทัศนศิลป์ เพื่ออ่านภาษาที่แสดงออกมาในผลงานศิลปะปฐมธาตุที่ถูกพิจารณา มีดังต่อไปนี้ ซึ่งถือรูปร่าง ทรง นํ้าหนัก แรงเงา พื้นที่ว่าง พื้นผิว รวมไปถึงปริมาตร การใช้ปฐมธาตุทางทัศนศิลป์เหล่านี้ช่วยให้ผู้สร้างสรรค์ให้ความหมายและสื่อความรู้สึกได้อย่างชัดเจน 

ปฐมธาตุเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างภาษาของทัศนศิลป์และใช้ในการแสดงความหมายอารมณ์ความรู้สึก

6. พิจารณาถึงคุณค่าในงานศิลปะ เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและมีหลายมิติ นักวิจารณ์ศิลปะต้องมีทัศนคติที่กว้างไกลที่จะไม่ใช้ความคิดเห็นส่วนบุคคลมีผลในการประเมินคุณค่าของงานศิลปะ ตัวบทวิจารณ์ควรเน้นการวิเคราะห์อย่างมีเหตุผลถูกต้องตามความหมายและวัตถุประสงค์ของคนนั้นๆ 

ต้องยอมรับว่าการประเมินคุณค่าของศิลปะมีผลในทางด้านจิตใจต้องระวังในการใช้การแสดงความคิดเห็นและความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาในกระบวนการนี้ โดยไม่มีเหตุผลหรือไม่มีทฤษฎีใดๆรองรับ

คุณค่าในงานศิลปะที่คนชมจะได้รับสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ ได้แก่

6.1 การรับรู้คุณค่าที่เกิดขึ้นในทางจิตใจ นี่คือการเข้าใจและการรับรู้ความหมายที่ปรากฎในผลงานศิลปะ อาจเป็นสัญลักษณ์หรือเรื่องราวที่ปรากฎในผลงาน ผู้ชมต้องมีความสามารถในการอ่านและเข้าใจความหมายที่ถูกสร้างขึ้นในผลงานศิลปะนั้น

6.2 การรับรู้คุณค่าในทางความสะเทือนใจ การสร้างความรู้สึกและความเข้าใจที่ลึกซึ้งในผู้ชม ผู้สนใจศิลปะสามารถกระตุ้นความสนใจและอาจจะทำให้พิจารณาเชื่อมโยงไปสู่เรื่องอื่นๆได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น เช่น การกระตุ้นให้เกิดความเห็นใจและเข้าใจในความเป็นมนุษย์ร่วมกันมากขึ้น

6.3 การรับรู้คุณค่าในทางด้านสุนทรียภาพ การสร้างความมีคุณค่าและความงดงามในสังคม ผลงานศิลปะอาจจะมีอิทธิพลในการสร้างจิตสำนักที่ดี และความงามที่เกิดขึ้นรอบตัวซึ่งมีผลเชิงบวกต่อสังคมและมนุษยชาติ คุณค่าในงานศิลปะไม่เพียงแต่เรื่องของความสวยงาม แต่ยังเกี่ยวข้องกับการสร้างความเข้าใจการความสนใจความหมายและความเป็นมนุษยชาติร่วมกัน

การพิจารณาคุณค่าในงานศิลปะนั้นเป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างรอบคอบและมีการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง เพื่อเข้าใจและประเมินผลงานศิลปะอย่างถูกต้องและมีเหตุผล

7. การพิจารณาส่วนละเอียดต่างๆ เพื่อให้การวิจารณ์เป็นไปอย่างครอบคลุมและมีความเป็นระบบ ต่อไปนี้คือหัวข้อย่อยต่างๆเป็นแนวทางที่สามารถใช้ในการพิจารณาเมื่อมีการวิจารณ์ผลงานศิลปะ

7.1 การแสดงออกที่ให้เห็นถึงบุคลิกภาพส่วนตัวของศิลปิน ผลงานสื่อถึงความรู้สึกและก็ประสบการณ์ส่วนตัวของศิลปิน หรือเป็นการแสดงความคิดใหม่หรือไม่

7.2 ลักษณะการสร้างสรรค์ขึ้นใหม่หรือการลอกเลียนแบบ แบบผลงานมีการสร้างสรรค์แนวคิดใหม่หรือแนวทางใหม่หรือไม่ รับแรงบันดาลใจหรือรับอิทธิพลมาจากผลงานอื่นๆโดยชัดเจนหรือไม่ เป็นต้น

7.3 เสรีภาพในการแสดงออกทางอารมณ์ เช่น ผลงานแสดงอารมณ์และความรู้สึกอย่างเปิดเผย หรือการสื่อสารอยู่ในกฎเกณฑ์จนเสียความเป็นตัวตนหรือไม่ 

7.4 การใช้องค์ประกอบศิลป์ ผลงานใช้องค์ประกอบศิลป์สอดคล้องเหมาะสมกับแนวความคิดหรือไม่อย่างไร

7.5 ความเป็นเอกภาพ ผลงานมีจุดเด่นมีจุดอ่อน ทุกองคาพยพในผลงานมีความกลมกลืนหรือขัดแย้งกันหรือไม่

7.6 ความเข้ากันได้ของเรื่องราวและรูปทรง รูปทรงในผลงานในความสอดคล้องกันกับเรื่องราวหรือการสื่อสารระหว่างเรื่องราวและรูปทรงเป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือไปคนละเรื่องกัน เป็นต้น

7.7 การแสดงออดถึงอารมณ์ความรู้สึก ความหมาย หรือสัญลักษณ์ ผลงานสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกหรือสัญลักษณ์ตามเจนตาของศิลปินผู้สร้างสรรค์หรือไม่

7.8 แนะนำวิธีการปรับปรุง คำแนะนำวิธีที่ดีอาจจะช่วยให้เกิดการพัฒนาการที่ดี เช่นเพิ่มรายละเอียด ปรับแต่งสี เปลี่ยนเทคนิค ปรับแก้การจัดองค์ประกอบในส่วนต่างๆ เหล่านี้เป็นต้น

การวิจารณ์ทัศนศิลป์เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและขึ้นอยู่กับความรู้ประสบการณ์ของผู้วิจารณ์เป็นสำคัญต้องมีความจริงใจเป็นพื้นฐานความเข้าใจในการวิจารณ์ เพื่อให้มีการวิจารณ์ที่สร้างประโยชน์แก่ศิลปินและรวมไปถึงสังคมศิลปะทั่วไป

📌 4 ขั้นตอนการวิจารณ์ที่มีประสิทธิภาพในการวิจารณ์ผลงานทางศิลปะอย่างละเอียด

1. การแปลความ 

1.1 การแปลความโดยส่วนรวม การพิจารณาส่วนรวมของผลงาน เช่น สีทั้งหมดในรูป เรื่องราวทั้งหมดที่ปรากฎ และองค์ประกอบทั้งหมด เป็นการดูในภาพรวม

1.2 การแปลความโดยอาศัยรายละเอียด การพิจารณารายละเอียดขององค์ประกอบต่างๆภายในผลงาน เพื่อทำความเข้าใจเรื่องราวสาระที่มีอยู่ในรายละเอียดเหล่านั้น

2. การพรรณนา
การให้ความสนใจกับรายละเอียดต่างๆในผลงาน เพื่อทำความเข้าใจว่าศิลปินใช้ทัศนธาตุและจัดวางองค์ประกอบอย่างไรเพื่อสร้างความรู้สึกหรือความหมาย ดูไปถึงวิธีการใช้องค์ประกอบต่างๆ เพื่อสร้างอารมณ์หรือทำให้ผู้ชมรู้สึกได้ตามเจตนาของศิลปิน

3. การวิเคราะห์
การสำรวจรายละเอียดขององค์ประกอบหลายอย่าง เช่น เส้นที่ใช้ สีที่ใช้ รูปทรงต่างๆ ลักษณะพื้นผิว และอื่นๆ การอธิบายถึงลักษณะและผลของการใช้อุปกรณ์เหล่านี้ต่อผลงาน

4. การตัดสิน การสรุปความเห็นในรูปแบบที่ชี้ขาดลงไปว่าผลงานดีมาก พอใช้ หรืออื่นๆ เพื่อเป็นการให้คำแนะนำ แนะแนว หรือ แนวทางในการปรับปรุงผลงานรวมไปถึงวิธีการใช้องค์ประกอบต่างๆเพื่อสร้างอารมณ์หรือทำให้ผู้ชมรู้สึกได้ตามเจตนารมณ์ของศิลปิน

การวิจารณ์ที่มีขั้นตอนและมุมมองที่ชัดเจนช่วยให้ผู้วิจารณ์สามารถสื่อความเห็นและคำแนะนำที่มีประโยชน์ต่อศิลปินโดยไม่เสียเวลาและก็ไม่หลงวิจารณ์ในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับผลงานหรือไม่ตรงตามหัวข้อสิ่งสำคัญก็คือผลของการวิจารณ์ต้องช่วยส่งเสริมการพัฒนาและปรับปรุงผลงานศิลปะให้ดียิ่งขึ้น

สิ่งหนึ่งที่นักวิจารณ์ไม่ควรละเลย ก็คือการพูดถึงการอนุรักษ์และการเผยแพร่ผลงานศิลปะในอดีต เนื่องจากงานศิลปะในอดีตมีความสำคัญในการเป็นแหล่งการเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ภูมิหลังทางวัฒนธรรม ถือว่าเป็นหน้าที่ที่สำคัญสำหรับนักวิจารณ์ ในการชี้ให้สังคมเห็นถึงคุณค่าของงานศิลปะในอดีต โดยชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ที่ดีกับสังคมและวัฒนธรรมปัจจุบันได้อย่างชัดเจน

📌 ผู้วิจารณ์งานศิลปะต้องตระหนักถึงสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้

1. การเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม งานศิลปะในอดีตเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่ช่วยให้เราเรียนรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ทางประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงในวัฒนธรรม ความเชื่อที่เคยมีอยู่ในอดีต ความเป็นมา นักวิจารณ์สามารถชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างงานศิลปะกับเหตุการณ์ต่างๆในประวัติศาสตร์และสังคมในยุคนั้นๆ

2. การเรียนรู้ความคิดและความรู้ งานศิลปะในอดีตสามารถแสดงให้เห็นถึงความคิด ความเชื่อ และองค์ความรู้ที่มีอยู่ในยุคนั้นได้อย่างชัดเจน  นักวิจารณ์สามารถชี้ให้เห็นถึงสิ่งเหล่านี้ เป็นความรู้ที่ถูกแสดงผ่านทางงานศิลปะที่มาจากการสร้างสรรค์ของครูช่างหรือศิลปินในอดีต

3. การส่งเสริมการพัฒนา การนำงานศิลปะในอดีตมาเผยแพร่และนำเสนอใหม่สามารถเสริมสร้างการพัฒนาในสังคม ให้ตระหนักรู้เป็นการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งเป็นการเรียนรู้ความผิดพลาดและความสำเร็จในอดีต

4. การสร้างความเข้าใจระหว่างยุคสมัย งานศิลปะในอดีตสามารถสร้างความเข้าใจระหว่างยุคและสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระกว่างสิ่งต่างๆในอดีตและปัจจุบัน นักวิจารณ์สามารถช่วยเสริมสร้างความเข้าใจนี้ให้กับผู้ชม การอนุรักษ์และเผยแพร่ทางศิลปะในอดีตเป็นการรักษามรดกทางวัฒนธรรมเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา นักวิจารณ์มีบทบาทสำคัญในการชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของงานศิลปะในอดีตและความสัมพันธ์ที่ส่งต่อมาจนถึงสังคมปัจจุบัน โดยช่วยสร้างความเข้าใจและการนำไปใช้ให้เหมาะสมในสังคมร่วมสมัย ณ ปัจจุบันสู่อนาคตของศิลปะวัฒนธรรม

สำหรับนักศึกษาแล้ว ในการทำหน้าที่วิจารณ์และประเมินผลงานศิลปะอย่างเหมาะสมมีความสำคัญอย่างยิ่งที่นักศึกษาหรือผู้วิจารณ์ต้องศึกษาเนื้อหาสำคัญดังที่กล่าวมาข้างต้น จะช่วยให้วานวิจารณ์เป็นอิสระและก็ไม่มีอคติ นี่คือแนวทางที่สำคัญในการทำหน้าที่วิจารณ์ศิลปะอย่างมีประสิทธิภาพ

📌 คุณสมบัติที่สำคัญ ในการทำหน้าที่วิจารณ์และประเมินผลงานศิลปะ มีดังต่อไปนี้

1. ความรู้และประสบการณ์ทางศิลปะ ผู้วิจารณ์ควรมีความรู้และประสบการณ์ในศิลปะประเภทที่จะวิจารณ์ ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจและวิเคราะห์ผลงานได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง อาจจะเป็นจำเป็นต้องเชี่ยวชาญแต่ควรมีประสบการณ์มาบ้างพอสมควร เช่น จะวิจารณ์ภาพเปลี่ยนสีนํ้าก็ควรมีประสบการณ์ในการใช้สีนํ้ามาบ้าง

2. ความรักชื่นชมในศิลปะ การมีความรักและความชื่นชมในศิลปะจะช่วยให้ผู้วิจารณ์มีการพิจารณาเชิงบวกและเปิดใจต่อผลงานศิลปะที่วิจารณ์

3. นํ้าใจกว้างขวางและเป็นกลาง ผู้วิจารณ์ควรเคารพความหลากหลายในศิลปะและยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นอย่างเปิดเผยและจริงใจ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและความรู้กับผู้อื่นจะช่วยให้มีมุมมองที่แตกต่างเกี่ยวกับผลงานศิลปะ

4. การเชื่อมโยงวิชาความรู้ ผู้วิจารณ์สามารถเชื่อมโยงความรู้จากวิชาความรู้อื่นๆ กับศิลปะได้อย่างเหมาะสม เช่น การเชื่อมโยงประวัติศาสตร์หรือสังคมวัฒนธรรมกับผลงานศิลปะเหล่านี้ เป็นต้น

5. อุดมคติในการวิจารณ์ การวิจารณ์ควรเป็นไปอย่างเปิดเผยมีความจริงใจและไม่มีอคติ ผู้วิจารณ์ควรใช้คำวิจารณ์ให้เป็นเครื่องมือในทางสร้างสรรค์และมีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงคุณภาพของผลงานศิลปะและวิสัยทัศน์ของศิลปิน

6. นํ้าใจเป็นประชาธิปไตย ผู้วิจารณ์ควรเคารพสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของศิลปินและสามารถสื่อความหมายให้ผู้อื่นเข้าใจได้อย่างชัดเจนต้องให้ความสำคัญกับการสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงออกทางศิลปะของศิลปิน

7. อารมณ์และความรู้สึกเยือกเย็น ผู้วิจารณ์ควรมีความสามารถในการรักษาอารมณ์และควบคุมความรู้สึกให้เยือกเย็น บางครั้งการวิจารณ์อาจจะมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันบ้าง ต้องเป็นผู้จัดการกับความรุนแรงและสามารถสรุปปัญหาที่เกิดจากอารมณ์ได้อย่างมีเหตุผล

การวิจารณ์ศิลปะเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนต้องใช้ความรู้และความเข้าใจที่ลึกซึ้งในด้านศิลปะ ผู้วิจารณ์ที่มีคุณสมบัติที่ดีและช่วยให้การวิจารณ์มีคุณค่าและมีคุณภาพ สามารถสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับผลงานศิลปะที่วิจารณ์ได้อย่างถ่องแท้และลึกซึ้ง

📌 ประโยชน์ของการวิจารณ์ศิลปะ

การวิจารณ์ผลงานศิลปะมีประโยชน์มากมายต่อผู้ที่ทำหน้าที่วิจารณ์และผู้ได้รับการวิจารณ์ ดังต่อไปนี้

1. ทำให้ทราบและเข้าใจแนวคิดสร้างสรรค์
การวิจารณ์ผลงานศิลปะช่วยให้ผู้วิจารณ์เข้าใจแนวความคิด หรือ ทัศนะ ในสิ่งที่ศิลปินสร้างสรรค์เป็นการช่วยเปิดประตูให้คนอื่นได้เข้าใจและติดตามแนวคิดนั้นด้วย

2. ทำให้เป็นผู้มีหลักการ บนพื้นฐานของปัญญา
การวิจารณ์ช่วยให้ผู้วิจารณ์เรียนรู้การใช้ปัญญาและวิเคราะห์ถึงคุณภาพและคุณค่าในผลงานศิลปะช่วยส่งเสริมให้พัฒนาความสามารถในการคิด การวิเคราะห์ได้อย่างมีเหตุผลตรงประเด็น

3. ทำให้ทราบถึงความเคลื่อนไหวของวงการศิลปะ และสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน
การวิจารณ์ช่วยให้ผู้วิจารณ์ติดตามความเปลี่ยนแปลงรวมไปถึงความเคลื่อนไหวของวงการศิลปะรวมทั้งสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันที่เกี่ยวข้องกับผลงานศิลปะ

4. ได้แสดงออกตามประสบการณ์ ด้วยเหตุผลและมีความเที่ยงธรรม
การวิจารณ์ช่วยให้ผู้วิจารณ์สามารถแสดงความคิดเห็นและความรู้สึกอย่างมีเหตุผล มีความเที่ยงธรรม เช่น การแสดงความคิดเห็นในกรณีที่ผลงานศิลปะมีประเด็นที่สำคัญต่างๆ 

5. ทำให้มีความรู้สึกนึกคิดละเอียด และประณีตอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ
การวิจารณ์ส่งผลให้ผู้วิจารณ์มีความรู้สึกและความคิดที่ลึกซึ้งมากขึ้น เข้าใจถึงรายละเอียดและความหมายที่ซ่อนตัวอยู่ในผลงานศิลปะ

6. ทำให้เป็นผู้มีความตื่นตัวหาความรู้อยู่เสมอ รัก-ใกล้ชิดวงการศิลปะ
การวิจารณ์ส่งผลให้ผู้วิจารณ์สนใจค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมในงานศิลปะและมีความเข้าใจ และมีความสนใจในวงการศิลปะอย่างลึกซึ้ง

7. มีความภาคภูมิใจได้ชื่นชมผลงานที่ได้วิจารณ์และสนับสนุนให้เจ้าของผลงานสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพต่อสังคมต่อไป
การวิจารณ์ที่จริงใจมีคุณค่าสร้างความมั่นใจและความภาคภูมิใจ เป็นการส่งเสริมให้ศิลปินสร้างผลงานที่มีคุณภาพและมีการพัฒนาต่อไป

📌 การวิจารณ์ผลงานทัศนศิลป์ มีประโยชน์ต่อศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงาน ดังต่อไปนี้

1. มีโอกาสนำเสนอและอธิบายจุดมุ่งหมายแนวคิดสร้างสรรค์
ผู้สร้างผลงานสามารถใช้หลักการวิจารณ์เพื่อช่วยในการอธิบายนำเสนอแนวคิดและจุดมุ่งหมายในงานทัศนศิลป์ของตนเองอย่างชัดเจนแก่ผู้วิจารณ์และประชาชนทั่วไป 

2. รับทราบแนวความคิดและข้อมูลของผู้อื่น
ผู้สร้างผลงานสามารถรับทราบแนวความคิดและข้อมูลจากผู้วิจารณ์และผลงานของผู้อื่น ในวงการศิลปะเพื่อนำข้อดี ข้อเสีย ไปปรับปรุงพัฒนาผลงานของตนเองให้ดียิ่งขึ้น

3. มีโอกาสแนะนำเทคนิคและวิธีการอย่างถูกต้อง
การได้รับคำวิจารณ์จากผู้วิจารณ์ที่มีความรู้และประสบการณ์สามารถช่วยผู้สร้างสรรค์ผลงานได้เรียนรู้เทคนิคและวิธีการใหม่ๆ หรือแนวคิดที่ดีมีประสิทธิภาพในการสร้างสรรค์ผลงานให้ดียิ่งขึ้น

4. มีขันติ เมื่อถูกกล่าวติเตียนโดยตรง และรู้จักการยอมรับความเป็นจริง
การวิจารณ์และคำติเตียนตรงไปตรงมาจากผู้วิจารณ์ ช่วยให้ผู้สร้างผลงานเป็นคนที่ยอมรับข้อบกพร่องและมีโอกาสปรับปรุงผลงานตนเอง

5. ผลงานถูกวิจารณ์เกิดการรับรู้
การวิจารณ์ช่วยให้เพิ่มความรู้มีผลดีต่อการพัฒนาการของศิลปินผู้สร้างผลงาน เพื่อช่วยในการพัฒนาและปรับปรุงผลงานสร้างสรรค์ในอนาคต

6. จิตใจเกิดพลังอย่างมีประสิทธิภาพในการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ที่มีประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไป
การรับคำวิจารณ์เพื่อการปรับปรุงผลงานช่วยเพิ่มความมุ่งมั่นในงานสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อสังคมทั้งในปัจจุบันและอนาคต

7. เกิดความรู้สึกที่ดีมีความเข้าใจกันระหว่างผู้สร้างสรรค์ผลงานและผู้วิจารณ์
การวิจารณ์มีคุณค่าเสริมสร้างความมั่นใจและความรู้สึกที่ดีระหว่างผู้สร้างสรรค์ผลงานกับผู้วิจารณ์ ซึ่งสามารถสร้างความเข้าใจร่วมกันเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้กับวงการศิลปะ

กระบวนการวิจารณ์ผลงานศิลปะตามหลักการและวิธีการมีหลายขั้นตอน เพื่อให้ผู้วิจารณ์สามารถทำการวิจารณ์อย่างระมัดระวังและเป็นระบบ

📌 กระบวนการพื้นฐานเบื้องต้นทั่วไป ที่จะต้องใช้ในการเก็บข้อมูลเพื่อวิจารณ์อย่างละเอียดลึกซึ้ง มีดังต่อไปนี้

1. การระบุข้อมูล
สิ่งแรกที่ควรทำก็คือระบุข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับข้อมูลศิลปะ เช่น ชื่อผลงาน ชื่อศิลปิน ปีที่สร้าง วัสดุที่ใช้ ขนาด และ สถานที่จัดแสดง ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ผู้วิจารณ์มีพื้นฐานที่มั่นใจและเข้าใจในงานศิลปะ

2. การพรรณนา
ในขั้นตอนนี้ผู้วิจารณ์ต้องเขียนบันทึกสิ่งที่พบเห็นในผลงาน เป็นไปตามลำดับขั้นตอน กล่าวถึงภาพรวม เช่น สาระในภาพ ภาพคน ภาพสัตว์ ภาพทิวทัศน์ ภาพหุ่นนิ่ง โทนสี การนำทัศนธาตุมาใช้การจัดวางองค์ประกอบศิลป์ข้อมูลกว้างๆทั่วไปในสิ่งที่เห็น สร้างความรู้สึกอย่างไรต่อผู้ชม เป็นต้น การพรรณนาช่วยให้ผู้วิจารณ์มีความเข้าใจผลงานมากขึ้น

3. การเคราะห์
เป็นการลงลึกในรายละเอียดในขั้นตอนการวิเคราะห์นี้เป็นการดูภาพรวมๆของผลงานว่าอยู่ในประเภทใด จำแนกสิ่งที่เห็นออกมาเป็นส่วนย่อย เช่น ความสมดุลของผลงาน การใช้เทคนิคต่างๆ การใช้สัญลักษณ์ เป็นต้น

4. การตีความ
ในขั้นตอนนี้ ผู้วิจารณ์จะพยายามตีความหาความหมายและความรู้สึกในผลงาน สะท้อนถึงวัตถุประสงค์หรือข้อคิดที่ศิลปินพยายามสื่อให้เห็น เช่น สภาพปัญหาในชุมชนสังคมและภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นต้น การตีความช่วยให้ผู้วิจารณ์เข้าใจผลงานในมิติที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

5. การประเมิน
ในขั้นตอนสุดท้าย ผู้วิจารณ์จะทำการประเมินผลงานโดยสรุปข้อดีและข้อเสียของผลงานนั้นๆ การประเมินนี้อาจจะเป็นไปในเชิงอุดมคติ มองให้เห็นถึงจุดเด่นและก็จุดอ่อนของผลงาน สรุปให้เห็นเป็นข้อดี ข้อด้อย ด้านเนื้อหา ด้านเรื่องราว หลักการการจัดองค์ประกอบศิลป์ทักษะฝีมือการถ่ายทอดความงาม

กระบวนการวิจารณ์นี้ช่วยให้ผู้วิจารณ์สามารถสื่อความคิดเห็นและประเมินผลงานศิลปะในลักษณะที่เป็นระบบและวิเคราะห์อย่างถูกต้อง อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความเข้าใจในศิลปะและเสริมสร้างกำลังใจแก่ผู้สร้างสรรค์ผลงานด้วยการให้ข้อคิดข้อแนะนำอันมาจากประสบการณ์ของผู้วิจารณ์

บทเรียนนี้ นักศึกษาศิลปะจะต้องทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ จะทำให้นักศึกษามีความเข้าใจในผลงานศิลปะได้อย่างลึกซึ้งขึ้นเป็นผลดีต่อการนำเสนอผลงานศิลปะนิพนธ์ของตนเอง ในการวิจารณ์งานตัวเองมีประโยชน์กับการนำเสนอผลงานของตนเองทั้งผลงานศิลปะและข้อเขียนทางวิชาการศิลปะสู่สังคมได้เป็นอย่างดี


แบบฝึกหัดหลังเรียน คาบสุดท้าย

1. จงระบุว่าคำกริยาที่ขีดเส้นใต้ในประโยคต่อไปนี้เป็น Physical Action Verb หรือ Mental Action Verb ?
• The cat ______ (sleeps) on the sofa.
• They ______ (believe) in ghosts.

2. จงระบุว่าคำกริยาที่ขีดเส้นใต้ในประโยคต่อไปนี้เป็น Transitive Verb หรือ Intransitive Verb และถ้าเป็น Transitive Verb ให้ระบุคำกรรม (object) ในประโยคด้วย ?
• He ______ (reads) a book.
• The birds ______ (fly) in the sky.

3. จงจับคู่คำกริยาทางซ้ายมือกับความหมายทางขวามือให้ถูกต้อง ?
Eat ( ) หัวเราะ
Run ( ) เขียน
Laugh ( ) กิน
Write ( ) วิ่ง

4. เติมคำกริยาที่กำหนดให้ลงในช่องว่างให้เหมาะสมกับประโยค (drink, sing, jump, talk, sleep) ?
• The children love to ______ and play in the park.
• She needs to ______ for at least eight hours every night.
• We ______ about our day after dinner.
• He likes to ______ a glass of juice in the morning.

5. จงออกเสียงและบอกควายหมายของคำศัพท์ต่อไปนี้ ?
Cinema
Church
Temple
Hospital
Restaurant

6. “ศิลปะวิจารณ์” (Art Criticism) คือกระบวนการหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับอะไร ?
7. ศิลปะวิจารณ์มีวัตถุประสงค์หลัก 3 ด้าน คืออะไรบ้าง ?
8. ทฤษฎีการสร้างงานศิลปะ มี อยู่ 4 ลักษณะใหญ่ๆ มีอะไรบ้าง ?
9. องค์ประกอบของศิลปะ ประกอบไปด้วย 3 ส่วนสำคัญ มีอะไรบ้าง ?
10. 4 ขั้นตอนการวิจารณ์ที่มีประสิทธิภาพในการวิจารณ์ผลงานทางศิลปะ มีอะไรบ้าง ?


 

เฉลย

1.)
The cat sleeps on the sofa. ประโยคนี้เป็น Physical Action Verb
Physical Action Verb (คำกริยาแสดงการกระทำทางกายภาพ) คือ กริยาที่แสดงการกระทำที่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้โดยร่างกาย ในที่นี้ คำว่า “sleeps” (นอนหลับ) เป็นการกระทำที่แมวกำลังทำและเราสามารถมองเห็นได้

Mental Action Verb (คำกริยาแสดงการกระทำทางจิตใจ) ในทางตรงกันข้าม คือ กริยาที่แสดงการกระทำทางจิตใจ เช่น คิด (think), รู้สึก (feel), เชื่อ (believe), จำ (remember) เป็นต้น ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่สามารถมองเห็นได้โดยตรง

The cat (เดอะ แคท) – แมว
sleeps (สลีพสฺ) – นอนหลับ
on the sofa (ออน เดอะ โซเฟอะ) – บนโซฟา

คำแปลทั้งประโยค แมวกำลังนอนหลับอยู่บนโซฟา

They believe in ghosts. ประโยคนี้เป็น Mental Action Verb
Mental Action Verb (คำกริยาแสดงการกระทำทางจิตใจ) คือ กริยาที่แสดงสภาวะหรือการกระทำที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ ไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้โดยตรง ในที่นี้ คำว่า “believe” (เชื่อ) เป็นการกระทำทางความคิดและความรู้สึก

Physical Action Verb (คำกริยาแสดงการกระทำทางกายภาพ) ในทางตรงกันข้าม คือ กริยาที่แสดงการกระทำที่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้โดยร่างกาย เช่น กิน (eat), วิ่ง (run), กระโดด (jump) เป็นต้น

They (เธ) – พวกเขา/พวกมัน
believe (บิˈลิฟv) – เชื่อ
in (อิน) – ใน
ghosts (โกสทฺส) – ผี (รูปพหูพจน์)
คำแปลทั้งประโยค พวกเขาเชื่อในเรื่องผี

2.)
• He reads a book. ประโยคนี้เป็น Transitive Verb

Transitive Verb (สกรรมกริยา) คือ กริยาที่ต้องการกรรม (object) มาตามหลัง เพื่อให้ประโยคนั้นมีความหมายสมบูรณ์ ในประโยคนี้ กริยา “reads” (อ่าน) ต้องการกรรมมารองรับว่าเขากำลังอ่านอะไร ซึ่งก็คือ “a book” (หนังสือ)

Intransitive Verb (อกรรมกริยา) คือ กริยาที่ไม่ต้องการกรรมมาตามหลังก็สามารถทำให้ประโยคมีความหมายสมบูรณ์ได้ เช่น The baby sleeps. (เด็กทารกนอนหลับ) กริยา “sleeps” ไม่ต้องการกรรมมารองรับ

คำกรรม (object) ในประโยค
a book (อะ บุค) – หนังสือ

He (ฮี) – เขา (ผู้ชาย)
reads (รีดซฺ) – อ่าน
a book (อะ บุค) – หนังสือหนึ่งเล่ม
คำแปลทั้งประโยค เขากำลังอ่านหนังสือ

The birds fly in the sky. ประโยคนี้เป็น Intransitive Verb

Intransitive Verb (อกรรมกริยา) คือ กริยาที่ไม่ต้องการกรรม (object) มาตามหลังก็สามารถทำให้ประโยคนั้นมีความหมายสมบูรณ์ได้ ในประโยคนี้ กริยา “fly” (บิน) สามารถสื่อความหมายได้ชัดเจนแล้วว่านกกำลังบินอยู่ ส่วนวลี “in the sky” (ในท้องฟ้า) เป็นเพียงส่วนขยาย (adverbial phrase) ที่บอกสถานที่ของการกระทำ ไม่ใช่กรรมของกริยา

Transitive Verb (สกรรมกริยา) ในทางตรงข้าม คือ กริยาที่ต้องการกรรมมารองรับเพื่อให้ประโยคนั้นมีความหมายสมบูรณ์ เช่น She eats an apple. (เธอกินแอปเปิล) กริยา “eats” ต้องการกรรม “an apple”

ประโยคนี้ไม่มีคำกรรม เนื่องจาก “fly” เป็น Intransitive Verb

The birds (เดอะ เบิร์ดซฺ) – เหล่านก
fly (ฟลาย) – บิน
in the sky (อิน เดอะ สกาย) – ในท้องฟ้า
คำแปลทั้งประโยค: เหล่านกบินอยู่ในท้องฟ้า

3.)
Eat (อีท) – กิน
Run (รัน) – วิ่ง
Laugh (ลาฟ) – หัวเราะ
Write (ไรท์) – เขียน

4.)
• The children love to jump (จัมพ์) – กระโดด and play in the park.
คำแปล: เด็กๆ ชอบที่จะกระโดดและเล่นในสวนสาธารณะ

• She needs to sleep (สลีพ) – นอนหลับ for at least eight hours every night.
คำแปล: เธอต้องการนอนหลับอย่างน้อยแปดชั่วโมงทุกคืน

• We talk (ทอล์ค) – พูดคุย about our day after dinner.
คำแปล: พวกเราพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวในแต่ละวันของเราหลังอาหารเย็น

• He likes to drink (ดริ้งค์) – ดื่ม a glass of juice in the morning.
คำแปล: เขาชอบดื่มน้ำผลไม้หนึ่งแก้วในตอนเช้า

(คำกริยา “sing” ไม่ได้ถูกใช้ในประโยคเหล่านี้)

5.) 
Cinema (ซิ-นะ-มะ) – โรงภาพยนตร์
Church (เชิร์ช) – โบสถ์ (คริสต์ศาสนา)
Temple (เท็ม-เพิล) – วัด (ศาสนาพุทธ, ฮินดู, หรือศาสนาอื่นๆ)
Hospital (ฮอส-พิ-เทิล) – โรงพยาบาล
Restaurant (เรส-เทอ-รอนท์) / (เรส-เทอ-แรนท์) – ร้านอาหาร

6.)
คือกระบวนการหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ การวิเคราะห์ การตีความ การประเมิน และการอธิบาย คุณค่าและความหมายของงานศิลปะ

โดยทั่วไปแล้ว ศิลปะวิจารณ์มุ่งเน้นไปที่

การบรรยาย (Description) การให้รายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพของงานศิลปะ เช่น วัสดุ เทคนิค สี รูปทรง ขนาด และองค์ประกอบต่างๆ ที่ปรากฏ

การวิเคราะห์ (Analysis) การพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่างๆ ในงานศิลปะ รูปแบบการจัดวาง การใช้สี แสงเงา เส้น และหลักการออกแบบอื่นๆ เพื่อทำความเข้าใจว่าศิลปินสร้างสรรค์งานอย่างไร

การตีความ (Interpretation) การพยายามทำความเข้าใจความหมาย แนวคิด อารมณ์ หรือสารที่ศิลปินต้องการสื่อผ่านงานศิลปะ ซึ่งอาจต้องอาศัยความรู้เกี่ยวกับบริบททางประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม และตัวศิลปินเอง

การประเมิน (Judgment/Evaluation) การตัดสินคุณค่าของงานศิลปะ โดยอาจพิจารณาจากเกณฑ์ต่างๆ เช่น ความคิดริเริ่ม ความงาม ความสามารถทางเทคนิค ความสามารถในการสื่อสาร หรือผลกระทบทางอารมณ์และสติปัญญา

ดังนั้น ศิลปะวิจารณ์จึงเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและมีหลายแง่มุม ซึ่งไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่การบอกว่างานศิลปะ “ดี” หรือ “ไม่ดี” แต่เป็นการทำความเข้าใจและเปิดมุมมองเกี่ยวกับงานศิลปะให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

7.)
1. การวิเคราะห์ (Analysis) การแยกแยะและวิเคราะห์โครงสร้างและองค์ประกอบของงานศิลปะ เช่น การพิจารณาทัศนธาตุที่นำมาใช้ การจัดองค์ประกอบ และการใช้เทคนิคเพื่อให้เข้าใจว่าศิลปินใช้องค์ประกอบเหล่านี้เพื่อสร้างความหมายและความรู้สึกอย่างไรในงานศิลปะ

2. การวิจารณ์ (Critique) ความคิดเห็นของนักวิจารณ์เกี่ยวกับงานศิลปะ โดยการวิจารณ์เน้นความความจริงในด้านดีและข้อบกพร่องของงาน มีการให้คำแนะนำสำหรับการปรับปรุงหรือพัฒนางานศิลปะในอนาคต

3. การวิพากษ์ (Interpretation) การพยายามเข้าใจความหมายที่ศิลปินสื่อออกมาในงานศิลปะ นักวิจารณ์พยายามตีความและอธิบายว่าผู้สร้างสรรค์งานเล่าเรื่องหรือสื่อสารสิ่งใดผ่านผลงานของเขา

8.)
1. นิยมการเลียนแบบ (Imitational Theory) เน้นการเลียนแบบความงามที่มีในธรรมชาติและก็ถ่ายทอดออกมาในผลงานศิลปะ
2. นิยมสร้างรูปทรงที่สวยงาม (Formalism Theory) เน้นการสร้างรูปทรงใหม่ให้มีความสวยงามโดยใช้เทคนิคต่างๆ
3. นิยมแสดงอารมณ์ (Emotional Theory) เน้นการสร้างผลงานที่แสดงความรู้สึกและอารมณ์ของศิลปินเป็นหลัก
4. นิยมแสดงจินตนาการ (Imagination Theory) เน้นการแสดงภาพจากจินตนาการหรือความคิดฝันที่แตกต่างไปจากธรรมชาติหรือสิ่งที่มีอยู่

9.)
1. ศิลปิน ศิลปินเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะแทรกความคิดและความรู้ของตนเองลงไปในผลงานศิลปะที่สร้างขึ้น เขาเป็นผู้นำเสนอความคิดความรู้สึกและเหตุผลของตนเอง ผ่านทางผลงานศิลปะของเขา

2. ผลงานศิลปะ งานศิลปะเป็นผลงานที่ศิลปินสร้างขึ้นมาคือสื่อกลางที่ถ่ายทอดความคิดและอารมณ์ความรู้สึกของศิลปินนั้นเอง ผลงานศิลปะมีหลายรูปแบบ ก็คือจิตรกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม หรือการแสดง เป็นต้น

3. คนดู คนชมหรือว่าคนอ่าน เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการวิจารณ์และก็ประเมินงานศิลปะ อาจกล่าวได้ว่า ความคิดเห็นเกี่ยวกับงานศิลปะนั้นๆ คนดูมีบทบาทในการรับรู้สื่อสารถึงความสวยงาม ความคิดอารมณ์ ความรู้สึก อันเป็นผลจากสาระที่ปรากฎอยู่ในงานศิลปะ

10.)
1. การแปลความ

1.1 การแปลความโดยส่วนรวม การพิจารณาส่วนรวมของผลงาน เช่น สีทั้งหมดในรูป เรื่องราวทั้งหมดที่ปรากฎ และองค์ประกอบทั้งหมด เป็นการดูในภาพรวม

1.2 การแปลความโดยอาศัยรายละเอียด การพิจารณารายละเอียดขององค์ประกอบต่างๆภายในผลงาน เพื่อทำความเข้าใจเรื่องราวสาระที่มีอยู่ในรายละเอียดเหล่านั้น

2. การพรรณนา
การให้ความสนใจกับรายละเอียดต่างๆในผลงาน เพื่อทำความเข้าใจว่าศิลปินใช้ทัศนธาตุและจัดวางองค์ประกอบอย่างไรเพื่อสร้างความรู้สึกหรือความหมาย ดูไปถึงวิธีการใช้องค์ประกอบต่างๆ เพื่อสร้างอารมณ์หรือทำให้ผู้ชมรู้สึกได้ตามเจตนาของศิลปิน

3. การวิเคราะห์
การสำรวจรายละเอียดขององค์ประกอบหลายอย่าง เช่น เส้นที่ใช้ สีที่ใช้ รูปทรงต่างๆ ลักษณะพื้นผิว และอื่นๆ การอธิบายถึงลักษณะและผลของการใช้อุปกรณ์เหล่านี้ต่อผลงาน

4. การตัดสิน การสรุปความเห็นในรูปแบบที่ชี้ขาดลงไปว่าผลงานดีมาก พอใช้ หรืออื่นๆ เพื่อเป็นการให้คำแนะนำ แนะแนว หรือ แนวทางในการปรับปรุงผลงานรวมไปถึงวิธีการใช้องค์ประกอบต่างๆเพื่อสร้างอารมณ์หรือทำให้ผู้ชมรู้สึกได้ตามเจตนารมณ์ของศิลปิน


📒 อ้างอิง | แหล่งข้อมูล | แหล่งที่มา | ผู้สอน | ผู้เรียบเรียง:รักเรียน ruk-learn.com

ผู้สอนวิชาภาษาอังกฤษ คาบเช้า
→ แนะนำคำกริยา โดย ครู A จาก English with KruA | จากบทเรียน เรื่อง Action verbs (กริยาการกระทำ)
→ ruk-learn.com อธิบายบทเรียนเพิ่มเติม

ผู้สอนวิชาภาษาอังกฤษ คาบบ่าย
→ แนะนำคำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับ สถานที่ (Places) โดย tutor จาก Eng123 | จากบทเรียน คำศัพท์ สถานที่ ภาษาอังกฤษ Places
→ ruk-learn.com อธิบายบทเรียนเพิ่มเติม

ผู้สอนวิชาทัศนศิลป์ คาบเย็น
→ “สุนทรียะแห่งศิลปะ” สนับสนุนโดย สาขาวิขาจิตรกรรมไทย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์
ขอขอบคุณ รศ.สุรชาติ เกษประสิทธิ์ เขียนบทและบรรยาย โดย ผศ.ฉัตรชัย ศิริพันธุ์ ผลิตสื่อโดย Aesthetics of life 27 กันยายน 2566 เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา วิชาสุนทรียศาสตร์และศิลปวิจารณ์ รหัสวิชาART 3105 สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 4 ซึ่งอยู่ในหลักสูตรศิลปบัณฑิตของสาขาวิชาจิตรกรรมไทย วิทยาลัยเพาะช่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์
→ ruk-learn.com อธิบายบทเรียนเพิ่มเติม